พ่อค้าวิเศษ กับชายชรา บทที่ 2

พ่อค้าวิเศษ กับชายชรา บทที่ 2

เรื่องราวในบทที่ 2 นี้ เซอร์ไพรส์ผมมาก เพราะผมเคยเจอกับพี่เขามาแล้ว ในตอนที่ยังเป็นเด็ก ซึ่งในตอนนั้น ครอบครัวของผมได้ย้ายมาเช่าบ้านเพื่ออาศัยอยู่หลังหนึ่ง เพื่อทำการค้าขาย ซึ่งทุกๆวันหลังจากเลิกเรียน ผมมักจะไปดูทีวีที่บ้านของเจ้าของบ้านเช่า ที่ครอบครัวของผมเช่าอยู่ เป็นประจำทุกวันเสมอๆ เพราะในตอนนั้น ที่บ้านของผมยังไม่มีทีวีให้ดู

และสิ่งที่เป็นภาพติดตาของผมอยู่บ่อยๆ คือ เจ้าของบ้านที่ครอบครัวของผมเช่าอยู่นั้น มักจะชวนพี่เขา และเพื่อนๆของเขามาสังสรรค์กันแทบจะทุกวัน ซึ่งภาพที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กเหล่านั้น ทำให้ผมตัดสินไปว่า พี่เขาต้องเป็นคนที่ไม่ดีอย่างแน่นอน เพราะส่วนตัวผมเป็นคนที่ไม่ชอบบุคคลที่ชอบสังสรรค์ (กินเหล้า สูบบุหรี่) และตัวผมเองก็ยอมรับเลยว่า เป็นคนที่มีนิสัยค่อนข้างจะตัดสินคนอื่น โดยเฉพาะคนที่สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์

ผมจะตัดสินว่า พวกเขาเหล่านั้นต้องมีเปอร์เซ็นต์ ที่จะเป็นคนที่ไม่ดีอย่างแน่นอน และผมก็จะพยายามอยู่ให้ห่างจากบุคคลเหล่านี้ และหนึ่งในเหตุผลที่ผมเป็นคนที่ค่อนข้างไม่ชอบบุคคลเหล่านี้ ก็เป็นเพราะว่า ในตอนเด็กผมมักจะถูกสอนเสมอว่าอะไร คือ สิ่งที่ดี และไม่ดี อะไรคือ สิ่งที่ควรทำตามเป็นแบบอย่าง และอะไรคือ สิ่งไม่ควรนำเอามาทำตามเป็นแบบอย่าง ผมมักจะถูกสอน และปลูกฝังให้รู้ตัวอยู่เสมอว่า บุคคลไหน คือ ตัวอย่างที่ดี ที่เราควรทำตาม และเราควรรู้ว่า อะไรคือ สิ่งที่ไม่ดี ที่เราไม่ควรกระทำเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่น

ซึ่งตัวผมก็ต้องขอบคุณ คุณครูและอาจารย์ ที่อบรมสั่งสอน และปลูกฝังผมมาตั้งแต่เด็ก แม้แต่บางครั้งการเลือกคบเพื่อนเอง ผมก็ต้องสังเกตดูก่อนว่า พวกเขาเป็นแบบไหน เป็นตัวอย่างที่ดีหรือไม่ และควรยุ่งด้วยหรือไม่ มันทำให้ผมเป็นคนที่ค่อนข้างรังเกียจอบายมุขทั้งหลาย ซึ่งมันก็ทำให้ผมตัดสินพี่เขาว่า เป็นคนที่ไม่ดี ที่ผมไม่ควรจะยุ่งด้วย แต่ว่าหลังจากที่ผมผ่านหน้าร้านสะดวกซื้อ ที่พี่เขาเริ่มมาขายอยู่บ่อยๆ เป็นประจำแล้ว หลายๆสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้ผมมองพี่เขาในแบบใหม่

ผมสังเกตว่า มักจะมีคนที่มีอัธยาศัยดี และจริงใจ เป็นมิตรหลายๆคน เข้ามาพูดคุยกับพี่เขาอยู่บ่อยๆ บ้างก็มาทักทาย และช่วยอุดหนุนพี่เขาบ้าง และก็จากไปด้วยเสียงหัวเราะ และรอยยิ้ม บ้างก็เข้ามาพูดคุยเรื่องต่างๆ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบว่า เป็นยังไงบ้าง บางครั้งก็มีคนมาชวนไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ และดื่มกินด้วยกันในโอกาสต่างๆ ทุกภาพและคำพูดที่ผ่านตา และเข้ามาในหู มันทำให้ผมรู้ว่า ตัวเองไม่ควรจะยึดติด และตัดสินพี่เขากับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น หรือสิ่งที่พี่เขาเคยเป็นในอดีต และก็มีอยู่หนึ่งเรื่องที่ผมเองก็แปลกใจอยู่เล็กน้อย คือ หลังจากที่คุณพ่อของผมเพิ่งผ่าตัด และออกจากโรงพยาบาล พี่เขาที่สังเกตเห็นผมเดินผ่านหน้าร้านสะดวกซื้อ ก็รีบเดินเข้ามาทักทาย และถามถึงอาการของคุณพ่อผมว่า เป็นยังไงบ้าง ผมเองก็แปลกใจเล็กน้อยว่า พี่เขารู้ได้ยังไง และการแสดงออกนั้น ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ ซึ่งผมก็ตอบไปอย่างสุภาพ และให้เกียรติกับพี่เขา และหลังจากนั้นมาทุกวันนี้ เมื่อผมเจอพี่เขา ผมก็มักจะเข้าไปทักทาย และพูดคุยกับพี่เขาเสมอ

และบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สอง ที่ผมได้รับ นั้นคือ เราไม่ควรจะตัดสินใคร คนใดคนหนึ่ง จากอดีตที่เขาเคยเป็น และที่สำคัญที่สุด คือ เราไม่ได้รู้เลยว่า บางครั้งที่เขาเป็นแบบที่เราเห็นนั้น ชีวิตของเขาต้องผ่านเรื่องอะไรมาบ้าง ที่เราเห็นว่า เขาชอบสังสรรค์กับเพื่อนๆ บางทีนั่นอาจเป็นสิ่งเดียว และเรื่องเดียวที่มีอยู่ในชีวิตของเขา ในขณะช่วงชีวิตนั้น และอีกหนึ่งความจริง คือ ต้นทุนชีวิตนั้นมีไม่เท่ากันจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องของเงินทอง แต่เป็นเรื่องของโอกาสที่จะได้รับการช่วยเหลือในด้านต่างๆ

และคนทุกคนก็ไม่ใช่ว่า ไม่อยากจะมีชีวิตที่ดี หรือมีความสุข แต่พวกเขาเหล่านั้น แค่ไม่รู้ว่า ควรจะไปขอความช่วยเหลือจากใครดี หรือควรจะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองยังไงดี บางครั้งพวกเขาเองก็ต้องการความช่วยเหลือ ในบางเรื่องเช่นกัน เพราะไม่มีใครที่สามารถทำอะไรได้ทั้งหมด ในทุกเรื่องด้วยตัวคนเดียว เราต่างก็ต้องมีคนที่คอยสนับสนุน และช่วยเหลือในบางเรื่องเสมอ แต่บางครั้งเรากลับมองพวกเขาผิดไปว่า ที่พวกเขามีชีวิตที่ย่ำแย่ ก็เป็นเพราะพวกเขาทำตัวเอง ทั้งๆที่ในบางเรื่องเราก็สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้

เราจะไม่มีทางรู้จักคนๆหนึ่ง หรือเห็นตัวตนที่แท้จริงๆของคนๆหนึ่งได้ จากเพียงแค่ความคิดของเรา หากอยากรู้ว่า คนๆหนึ่งเป็นยังไงจริงๆ เราต้องกล้าที่จะทำความรู้จัก และค่อยๆเรียนรู้จากสิ่งที่เขา คิด พูด และแสดงออกมา นั่นถึงจะบ่งบอกว่า ตัวตนที่เขาซ่อนอยู่ข้างในเป็นยังไง คนบางคนก็ไม่ได้แสดงตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมา เพราะเหตุผลหลายอย่างๆ ซึ่งเราก็ไม่มีทางจะรู้ได้เลยเช่นกันว่า เหตุผลเหล่านั้นคืออะไร ฉะนั้นแล้ว ก่อนที่เราจะตัดสินใครสักคนจริงๆ ให้เราทำความรู้จักกับเขาก่อน และอย่ามองเพียงแค่ปัจจุบันที่เห็น เพราะการกระทำ หรือการแสดงออกบางอย่างในปัจจุบัน ก็มีผลมาจากบาดแผลในอดีต (จากการพูดคุยผมก็ได้รับรู้ว่า ที่พี่เขาชอบดื่มเหล้าเป็นประจำในตอนนั้นก็เพราะว่า เขามีปัญหากับครอบครัวของเขา) บางคนก็ทำตัวแย่ๆ เพราะมีชีวิตที่น่าเจ็บปวด บ้างก็ถูกทอดทิ้งมาตั้งแต่เด็ก บางคนก็ไม่เคยได้รับความรัก และความอบอุ่นเลย บางคนก็ต้องทำงานดิ้นรน เพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่ ด้วยลำแข้งของตัวเองทั้งๆ ที่ยังเด็กด้วยเลยซ้ำ และหนักหนาสาหัสที่สุด ก็คือ บางคนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า พ่อและแม่ของตัวเองเป็นใคร ฉะนั้นแล้ว เราไม่ควรจะตัดสินใครจริงๆหากเรายังไม่ได้รู้จักตัวตน และชีวิตของเขาดีพอ

ข้อคิด

อย่าเพิ่งด่วนตัดสินคนๆหนึ่งจากสิ่งที่เขาแสดงออกมา โดยที่ยังไม่รู้ว่า เบื้องหลังชีวิตของเขาต้องพบเจอกับเรื่องอะไรมาบ้าง และจริงๆแล้ว เราก็อาจไม่ได้ชอบคนทุกคนเพราะทั้งหมดที่เขาเป็น เราอาจจะชอบเพียงแค่บางส่วนของคนๆหนึ่ง ที่เขาเป็นก็ได้ และส่วนที่เราไม่ชอบนั้น เราก็แค่ทำความเข้าใจ และยอมรับมัน แต่มันก็ไม่ใช่ว่า จะไม่มีอยู่เลยคนที่จะชอบทุกสิ่งของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ในชีวิตจริงนั้น มันมีน้อยมาก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะบางเรื่องมันก็เป็นแค่เรื่องที่เล็กน้อยเท่านั้น เช่นเดียวกับพี่เขา ที่เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากว่า จะมีคนชอบเขาหรือไม่ เพราะมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ที่คนทุกคนจะมาชอบในสิ่งที่เขาเป็น เช่นเดียวกับเราที่ก็มีทั้งคนที่ชอบ และไม่ชอบเรา

คนบางคนก็ชอบพูดว่า ต้นทุนชีวิตของคนเรานั้นเท่ากัน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด เพราะใช่ว่า ทุกโอกาสจะเหมาะสมสำหรับทุกคน และทุกเวลา และการเรียนรู้นั้น ก็ใช่ว่า จะเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนทุกคน เพราะบางคนก็เรียนรู้ได้ช้า และเป็นคนที่ต้องค่อยๆ เรียนรู้ถึงจะเข้าใจได้ และจุดหมาย หรือเป้าหมายของคนทุกคน ก็ไม่ได้เหมือนกัน บางคนก็พยายามอย่างหนัก เพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่บางคนก็ต้องการแค่ชีวิตที่เรียบง่าย แบบพออยู่พอกิน

สุดท้ายแล้วไม่เราจะเป็นคนแบบไหน ก็จะมีทั้งคนที่ชอบเรา และไม่ชอบเราอยู่ดี และไม่ว่าเราจะทำ หรือไม่ทำอะไร ก็จะมีคนตัดสินเราอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นแล้ว เราแค่ต้องทำในสิ่งที่เราคิดว่า มันถูกต้อง และดีที่สุดก็เพียงพอแล้ว โดยไม่ต้องไปแคร์ว่า สิ่งดีๆ หรือเรื่องดีๆ ที่เราทำจะถูกมองว่า เป็นการสร้างภาพหรือไม่ เพราะทำเพื่อสร้างภาพ หรือทำด้วยความจริงใจนั้น ตัวเราเองรู้ดีที่สุด และหากจะมีใครมองว่า เราสร้างภาพก็ไม่ต้องไปคิดมาก เพราะเราไม่สามารถจะห้ามความคิดของใครได้อยู่แล้ว

ดังนั้น หากมีใครมาบอกว่า คุณเป็นคนที่ชอบสร้างภาพ เวลาที่คุณทำเรื่องอะไรดีๆ ก็ขอให้คุณอย่าได้เก็บคำพูดเหล่านั้นเอามาใส่ใจ คุณจงภูมิใจในสิ่งดีๆ และเรื่องดีๆ ที่ตัวคุณทำ และคนที่มองว่า คุณสร้างภาพ เมื่อพวกเขาเหนื่อย พวกเขาก็จะหยุดไปเอง โลกของเราในปัจจุบันนี้ ไม่ได้ต้องการคนที่คิดดี เพราะคนที่คิดดีนั้นมีมากแล้ว แต่สิ่งที่โลกของเราต้องการมากกว่า คนที่คิดดี ก็คือ คนที่กล้าจะเริ่มต้นทำเรื่องๆ ดีที่คิด เพราะเพียงแค่คิดดี นั้นยังไม่เพียงพอ มันต้องทำด้วย ถึงจะเกิดเปลี่ยนแปลง และก่อให้เกิดผลลัพธ์แห่งการเปลี่ยนที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง

บทความโดย : Worawut Roengmi

ขอขอบคุณรูปภาพประกอบทั้งหมดจาก Unsplash

ชอบบทความนี้หรือไม่? รับทราบข้อมูลโดย เข้าร่วมรับจดหมายข่าว!

ความเห็น

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับผู้เขียน

บทความล่าสุด
เม.ย. 28, 2023, 2:40 หลังเที่ยง Sugarmommy
เม.ย. 28, 2023, 2:37 หลังเที่ยง เบญจพิธพร
เม.ย. 27, 2023, 12:49 หลังเที่ยง ศลิล ตันวิสุทธิ์