โลกยุคใหม่ที่นายทุกได้ซื้อความขี้เกียจของคนทั้งโลกเอาไว้หมดแล้ว ธุรกิจ Lazy Economy

                คุณจะตกใจไหม ถ้าเราจะบอกคุณว่า คุณจะไม่ต้องทนดูดฝุ่นเองให้ปวดหลังอีกต่อไปแล้ว เพราะด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน เราสามารถผลิตหุ่นยนต์ที่สามารถดูดฝุ่นแทนคุณได้ตลอดทั้งวันแล้ว. . .

               ...

               ใช่ คุณคงจะไม่ตกใจอีกแล้ว ก็แหงแหละก็โลกนี้มีเทคโนโลยีที่รองรับต่อความขี้เกียจของมนุษย์อย่างครบถ้วน เพื่ออำนวยความสะดวกสบายสูงสุดให้แก่ผู้ใช้งานที่มีปัญญาจ่ายเงินให้กับมัน (?)

               งั้นเปลี่ยนคำถามเป็น คุณจะตกใจไหมถ้าเราจะบอกคุณว่า “ความขี้เกียจของคนทั้งโลกถูกนายทุนซื้อไปหมดแล้ว(?)”

               ปัจจุบันโลกใบนี้มีเทคโนโลยีที่เจริญก้าวไปไกลอย่างมาก เมื่อเทียบกับการปฏิวัติอุสาหกรรมครั้งที่ 3 ที่เริ่มมีการนำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ในแวดวงอุตสาหกรรมเมื่อปี 1969 เพื่อทำให้เกิดกระบวนการผลิตแบบอัตโนมัติ สามารถผลิตสินค้าที่มีความซับซ้อนได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว จากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 มาจนถึงตอนนี้ ก็ไม่มีบริษัทผู้ผลิตใดที่ไม่ใช้คอมพิวเตอร์อีกแล้ว การใช้คอมพิวเตอร์ในการกระบวนการผลิตกลายเป็นเรื่องพื้นฐานของทุกบริษัทไปเสียแล้ว และเทคโนโลยีก็มีวิวัฒนาการรที่ก้าวกระโดดไปไกลเป็นอย่างมากโดยเริ่มต้นจากคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในปี 1946 หลังจากนั้นมนุษย์ก็ต่อยอดเทคโนโลยีต่อมาเรื่อย ๆ เพื่อสร้างความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต อาศัยความขี้เกียจมนุษย์เพื่อสร้างกำไรอย่างมหาศาล และความมั่งคั่งของนายทุนนั่นแหละ  คือหลักฐานว่าพวกเค้าได้ซื้อความขี้เกียจของคนทั้งโลกเอาไว้หมดแล้ว
แล้วไอ้ความขี้เกียจที่ว่า มันมาจากไหนกันล่ะ ?

               เดิมทีมนุษย์เป็นสัตว์ที่ขี้เกียจที่สุด ในยุคดึกดำบรรพ์ไม่ได้มีอาหารให้กินครบ 3 มื้อในทุก ๆ วัน และการออกล่าหาอาหารก็เป็นเรื่องที่โคตรจะเหนื่อย ถึงมนุษย์ยุคก่อนจะแข็งแรงกว่าคนปัจจุบันถึงเพียงไหนแต่ก็ใช่ว่า จะวิ่งตามเสือทันตลอดทุกครั้งที่ออกล่าหรอกนะ ดังนั้นมนุษย์จึงมีสัญชาตญาณอย่างหนึ่งก็คือ การรู้จักที่จะ ‘ขี้เกียจ’ เพื่อประหยัดพลังงานเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เช่นการหลบหนีภัยพิบัติ หรือสัตว์ร้าย การถูกรุกราน การย้ายถิ่นฐานหรืออพยพ เพราะว่าแหล่งพลังงานหลักอย่างอาหารไม่ได้หากันง่าย ๆ นั่นเอง มันก็เลยเป็นต้นเหตุของความขี้เกียจทั้งหมด ที่ส่งต่อผ่านพันธุกรรมกันมาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้มนุษย์จะไม่ได้ออกล่าอาหารด้วยตัวเองเหมือนในยุคดึกดำบรรพ์แล้วก็ตาม แต่การเดินออกไปซื้ออาหารที่ปากซอยข้างหน้าบ้าน ก็ยังถือว่าไกลอยู่ดี. . .

               แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ใช่ว่าเรากำลังจะบอกว่าความขี้เกียจน่ะ มันไม่ดีหรอกนะ เพราะแม้แต่นักธุรกิจอย่าง
Bill Gates ที่เป็นมหาเศรษฐีที่รวยติดอันดับโลก ยังกล่าวเอาไว้ว่าI choose a lazy person to do a hard job. Because a lazy person will find an easy way to do it” (แปล : ผมจะเลือกคนที่ขี้เกียจมาทำงานที่ยาก เพราะว่าพวกคนขี้เกียจจะหาทางที่ง่ายที่สุดเพื่อทำมันให้เสร็จ) เพราะการก้มหน้าตรากตรำทำงานอย่างคนขยันไม่ใช่วิธีที่จะทำให้เกิด ไอเดียใหม่ ๆ และเพราะความขี้เกียจนี้จึงทำให้เกิดธุรกิจที่รองรับความขี้เกียจของมนุษย์อยู่หลากหลายประเภท โดยธุรกิจเหล่านี้อาศัยสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน เพื่อทำให้ธุรกิจไปรอดและมั่งคั่ง ก็คือ ‘ความขี้เกียจ’  

               โดยธุรกิจเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า Lazy Economy ก็เรียกง่าย ๆ ก็การหากินกับความขี้เกียจของคนนั่นแหละ โดยพบว่าในสตาร์ทอัพทั่วโลก กว่า 34% ที่ทำธุรกิจเพื่อสนับสนุนคนขี้เกียจ โดยกลยุทธ์ที่ใช้ในการทำ Lazy Economy มีหลักการที่ชื่อว่า SLOTH ประกอบด้วย Speed รวดเร็ว : จะต้องทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว เพราะมนุษย์ยุคปัจจุบันไม่ชอบรอสินค้าเป็นเวลานาน / Lean กระชับ : ตัดขั้นตอนที่ยุ่งยากให้กระชับขึ้น เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน / EnjOy สนุก : การทำให้ผู้บริโภคสนุกจะเกิดแรงจูงใจในการซื้อหรือใช้บริการ / ConvenienT สะดวก : ต้องมีความสะดวก / Happy มีความสุข : ต้องสามารถเติมเต็มปัญหาของลูกค้าได้จึงจะสามารถทำให้ลูกค้ามีความสุข    ในฐานะของนักการตลาด และนักธุรกิจแล้วแม้ว่าลูกค้าจะขี้เกียจแค่ไหนก็ตาม แต่หากขึ้นชื่อว่าเป็นลูกค้าแล้ว ก็มีหน้าที่มอบสินค้าและบริการให้ถึงที่สุดจึงจะทำให้เกิดยอดขายที่เพิ่มขึ้นและ Customer Loyalty

               โดย 5 ธุรกิจที่เป็นที่นิยมอย่างมากใน Lazy Economy ได้แก่

1.ธุรกิจ On Demand Service ที่สามารถทำแทนคุณได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานบ้าน จองคิว จองตั๋วคอนเสิร์ต หรือแม้กระทั่งเลือกซื้อของใช้เข้าบ้านให้คุณ และที่น่าตกใจที่สุด การเล่นเกมที่เหมือนจะเป็นกิจกรรมคลายเครียดของคุณ กลับมีการรับจ้างเล่นเกมแทนคุณด้วยเช่น กันไม่น่าเชื่อเลยว่าโลกเราจะมาไกลขนาดนี้แล้วถึงขั้นที่แม้แต่กิจกรรมคลายเครียดเล็ก ๆ ในหนึ่งวันของคุณก็สามารถจ้างคนมาทำแทนได้แล้ว

2. ธุรกิจ Hand Free ที่จะทำให้คุณสามารถละมือของคุณให้ว่างมากพอจะไปทำอย่างอื่นที่คุณอยากทำได้ เช่น การพักผ่อน โดยธุรกิจประเภทนี้จะเป็นสินค้าประเภท Automation นั่นเองยกตัวอย่างเช่น หากคุณขี้เกียจที่จะล้างจานธุรกิจเหล่านี้ก็จะมอบเครื่องล้างจานให้กับคุณ ที่เพียงแค่คุณใส่จานเข้าไปในเครื่องรอมันทำงาน เท่านี้คุณก็จะได้จานสะอาดพร้อมนำมาใช้งานอีกครั้งแล้ว หรือจะเป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่คุณสามารถตั้งค่าให้มันดูดฝุ่นได้ในช่วงที่คุณออกไปทำงานข้างนอก และคุณก็จะกลับบ้านมาพักผ่อนได้โดยไม่ต้องเสียเวลาทำความสะอาด

3. ธุรกิจ Ready to ส่วนมากในธุรกิจประเภทนี้จะเป็นอาหารพร้อมรับประทาน ทำให้คุณไม่ต้องเสียเวลาทำอาหารกินเอง เพราะอาหารเหล่านี้จะถูกทำมาสำเร็จรูป ให้พร้อมรับประทานทุกเมื่อ เมื่อคุณต้องการ รวมถึงเครื่องดื่มด้วย ซึ่งนอกจากจะเป็นที่นิยมในกลุ่มคนขี้เกียจแล้ว ยังเป้นที่นิยมในกลุ่มคนที่ทำอาหารไม่เป็นอีกด้วย จึงเป็นอีกหนี่งธุรกิจที่มาแรงในกลุ่ม Lazy Economy

4. ธุรกิจร่วมมือ ร่วมใจ โดยธุรกิจประเภทนี้จะเป็นการสร้าง Community เพื่อทำให้เกิดแรงจูงใจนั่นเอง ยกตัวอย่าง อย่างในปีที่ผ่านมาก็มีกลุ่ม Community ที่เป็นที่นิยมอย่างมากที่มีชื่อว่า ปีนี้เราจะหุ่นดีไปด้วยกัน ซึ่งก็จะเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่มีความต้องการที่จะหุ่นดี โดยกลุ่มคนใน Community ก็จะช่วยกันสร้างแรงจูงใจให้กันและกันนั่นเอง

5. ธุรกิจเน้นการฟัง ถ้าการอ่านมันรู้สึกน่าเบื่อเกินไปสำหรับคุณตอนนี้ ก็มีคนมาอ่าน หรือ เล่า บทความอันน่าสนใจให้คุณได้ฟังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผ่าน Podcast หรือว่า VDO Content สั้น ๆ เพื่อให้คุณไม่ต้องเสียเวลาอ่านมันด้วยตัวเองอีกแล้ว คุณสามารถเปิดพอดแคสต์เหล่านี้ฟังได้ในขณะที่คุณกำลังทำอย่างอื่นไปด้วย

               และจากธุรกิจที่กล่าวมาข้างต้น ก็แทบจะครอบคลุมชีวิตประจำวันของคุณทั้งหมดไปเสียแล้ว ซึ่งธุรกิจเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างรวดเร็วจากพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยในปี 2018 เว็บไซต์ Taobao (เถาเป่า) ธุรกิจอีคอมเมิร์ชรายใหญ่ในจีนก็ได้เก็บข้อมูลการใช้งานของผู้บริโภคเอาไว้ว่า ผู้คนที่เกิดหลังปี 1995 มีการใช้จ่ายไปกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากถึง 70% โดยมีมูลค่ามากกว่า 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นอาหารพร้อมรับประทาน อุปกรณ์ดิจิทัล เครื่องสำอางค์ ซึ่งปริมาณความขี้เกียจที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้สินค้าเหล่านี้เป็นที่ต้องการในท้องตลาดเป็นอย่างมาก จึงทำให้กลุ่มสตาร์ทอัพในจีน เน้นทำการลาดไปที่คนกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก มีแม้กระทั่ง การคิดค้นโดรนส่งกาแฟเมื่อตรวจจับได้ว่าคุณกำลังเหนื่อยล้า รู้สึกได้เลยว่าธุรกิจ และเทคโนโลยีกำลังเติบโตไปไกลอย่างน่ากลัว

               เมื่อได้รับรู้แบบนี้แล้ว ก็คงจะทราบกันแล้วว่า Lazy Economy ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวอีกต่อไป เพราะมันเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันที่เราเห็นกันจนชินตาไปแล้วนั่นเอง  ซึ่งถ้าอนาคตจะมีเครื่องที่สามารถทำอาบน้ำแต่งตัวให้คุณได้ในอีก 50 ปีข้างหน้า ก็อาจจะไม่ทำให้เราได้ตกใจกันอีกแล้ว เพราะเทคโนโลยี จะวิวัฒนาการขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ และเพราะแบบนี้ โลกของเราจึงพัฒนากันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ตามที่เราได้บอกคุณไปข้างต้น ว่าไม่ใช่ว่าความขี้เกียจไม่ดี แต่เพราะความขี้เกียจ เทคโนโลยี ธุรกิจ สังคม โลก จึงพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน และใช่ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้เพื่อที่จะยืนยันกับคุณอีกครั้งว่า
               .
               .

               .

               “ความขี้เกียจของคนทั้งโลกถูกนายทุนซื้อไปหมดแล้ว. . . ”

 

 

                              Lazy Economy ธุรกิจที่หากินกับความขี้เกียจของมนุษย์

 

 

ชอบบทความนี้หรือไม่? รับทราบข้อมูลโดย เข้าร่วมรับจดหมายข่าว!

ความเห็น

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับผู้เขียน
บทความล่าสุด
เม.ย. 28, 2023, 2:40 หลังเที่ยง Sugarmommy
เม.ย. 28, 2023, 2:37 หลังเที่ยง เบญจพิธพร
เม.ย. 27, 2023, 12:49 หลังเที่ยง ศลิล ตันวิสุทธิ์