สวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่าน ผมฎอลิบครับ แหม่ พอพูดถึงฎอลิบแล้วซึ่งเป็นนามปากกาของผม ผู้อ่านคงคิดว่าผมคงเป็นฎอลิบันแน่ๆ ฮ่าๆๆ ตั้งนามปากกาได้ล่อเป้าจริงๆ ข่าวในเรื่องอัฟกันนิสถานที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เห็นในข่าวแล้วบอกตามตรงส่วนตัวแล้วมันเป็นเรื่องที่งง ชวนสับสน กลุ่มฎอลิบัน ชื่อนี้ก็ได้ยินมาตลอดจนถึงวันนี้
แหล่งข่าวใหญ่ๆมักพูดไปในทำนองเดียวกันในประเด็นหลักๆได้แก่ " สิทธิของผู้หญิงที่จะไม่ได้เรียนหนังสือเมื่อฎอลิบันมีอำนาจ " "การกดขี่ข่มเหง" คำพูดแบบนั้นมันจริงเหรอ ? ส่วนตัวผมไม่รู้ครับ เพราะผู้เขียนรู้น้อยเรื่องประวัติศาสตร์เอเชียใต้ ผมจึงพยามรอบรวมจากแหล่งอื่นๆที่ไม่ใช่แหล่งข่าวหลักๆที่จะเสนอให้ผู้อ่านได้ชมครับ แต่ที่ผมรู้แน่คือข่าวสารต่างๆในแถบตะวันออกกลางที่ผ่านโดยสำนักข่าวใหญ่ๆทั้งในบ้านเราและต่างประเทศผมให้ความเชื่อถือน้อยครับ ทำไมนะเหรอ ? เพราะสำนักข่าวเหล่านั้นไม่ใช่สำนักข่าวในพื้นที่นะสิครับ ถ้าผู้อ่านสังเกตพาดหัวข่าวมักจะเริ่มด้วยคำว่า สำนักข่าวรายงานว่า ได้รับรายงานมาว่า นู่นนี่นั่น พร้อมใส่รูปลิ้งค์ตัดแปะ ใครๆก็ทำได้ถูกไหมครับ เดี๋ยวผมจะเสนอแบบนั้นบ้างดีกว่า ด้วยตัวหนังสือและแหล่งที่มา เกือบลืมไป เขาอาจจะมีคลิปแต่ออกอากาศไม่ได้
เพื่อความแฟร์เราดูประเด็นเชิงประจักษ์กันดีกว่าเรื่องวิดิโอที่ชาวอัฟกันเกาะเครื่องบินตามในข่าวกันครับ ในสื่อทั่วไปมักบอกว่า ชาวอัฟกันหนีตายจากฎอลิบันเพราะกลัวในกฎที่ฎอลิบันจะนำมาใช้ปกครองและกดขี่ นี่คือใจความหลักๆในสื่อที่เราเห็นทั่วไปและรับรู้ แล้วที่เราไม่รู้ล่ะ ? https://www.youtube.com/watch?v=ENMiKLiCFRA นี่คืออีกภาพที่ไม่มีในข่าวทั่วไปหลังฎอลิบันเข้ายึดคาบูลครับ
พวกเขาหนีเรื่องนี้จริงๆเหรอ ? เปล่าเลยครับ ที่พวกเขาหนีเพราะตลอด 20 ปีที่ผ่านมาพวกเขาเคยทำงานให้กับอเมริกาโดยการเป็นล่ามเพราะตอนนั้นทหารอเมริกันเข้ามาใหม่ๆช่วงตามล่าบินลาดินก็ไปตามบ้านเรือนแล้วให้ล่ามคุยว่าใช่ฎอลิบันหรือปล่าวหากต้องสงสัยก็จะถูกเค้นถาม ด้วยเหตุนี้ฎอลิบันจึงจำคนเหล่าว่านี้ว่าพวกนี้แหละเป็นสาเหตุที่ส่งผลร้ายแก่ประชาชนอัฟกันนิสถานตาย แหล่งที่มาที่ผมเขียนมานี้ผมข้ออ้างจาก ดร.อณัส อมาตยกุล อาจารย์พิเศษด้านวิชาอิสลามและศาสนากับการเมืองโลก คณะรัฐศาสตร์มธ. ตามลิ้งค์ด้านล่างเลยครับ(นาทีที่9:40)
https://www.youtube.com/watch?v=NSK4HOpfrPc
ประเด็นต่อมาเรื่องการรีบถอนตัวของกองทัพสหัรัฐนั้นที่เคยบอกว่าจะถอนตัวภายใน9/11เพื่อรำลึกเหตการณ์ตึกเวิลด์เทรดเคยถล่ม นั่นคือการคาดการณ์ แต่ที่เหนือการคาดการณ์คือการถอนตัวเร็วกว่าปกติ คนต่างสงสัยว่าทำไมฎอลิบันยึดไวขนาดนั้น ในส่วนที่น่าคิดคือ ทำไมฎอลิบันที่มีอาวุธธรรมดาๆสามารถทำให้สหรัฐที่ทุ่มสุดตัวเสียเงิน เสียคนมาตลอด20ปี ตัวเลขไม่ใช่น้อยๆไม่สามารถล้มฎอลิบันได้ แต่ฎอลิบันใช้เวลาวันเดียว นั่นเพราะว่าคนในประเทศเขาไว้ใจฎอลิบันครับ และถ้ายังอยู่ต่อในสภาพที่ทหารสหรัฐออกไม่ได้สายตาคนโลกก็จะมองอีกแบบว่านี่มันเหมือนไซ่ง่อนปี1975 เลย ประเด็นที่ผมพูดก็เอามาจาก ผศ.ดร. มาโนชญ์ อารีย์ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ฟังเต็มๆได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
https://www.youtube.com/watch?v=YPCcHFaRWbM (นาทีที่9:40)
ประเด็นท็อปฮิตสุดท้ายเรื่องสิทธิของผู้หญิงที่จะไม่ได้เรียนหนังสือเมื่อฎอลิบันมีอำนาจ และการกดขี่ข่มเหง
ในส่วนนี้มีคนนำจดหมายของซาห์รา คาริมี ผู้กำกับภาพยนตร์ และประธาน Afghan Film บริษัทผลิตภาพยนตร์ของรัฐแห่งเดียวของอัฟกานิสถาน ที่ได้เขียนจดหมายถึงสมาพันธ์ภาพยนตร์ทั่วโลกพูดถึงฎอลิบันในมุมของเธอว่าเมื่อใดก็ตามที่กลุ่มฎอลิบันกลับเข้าสู่อำนาจ จะไม่มีผู้หญิงซักคนได้เรียนหนังสือ ผู้เขียนมั่นใจว่าคนส่วนใหญ่มองฎอลิบันแบบเดียวตามผู้หญิงท่านนี้ไปแล้วว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ
งั้นเรามาดูผู้หญิงอีกท่านหนึ่งชื่ออีวอน ริดลีย์ (Yvonne Ridley) เคยถูกตาลีบันในอัฟกานิสถานจับกุมตัว และภายหลังเธอได้รับการปล่อยตัว หลังจากเธอกลับไปลอนดอนชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เพราะก่อนหน้านั้นเธอก็มองฎอลิบันเหมือนซาห์ร่าครับว่าต้องถูกข่มขืนและทารุนแน่ แต่พอรู้จักจริงๆมันไม่ใช่อย่างที่คิด
อีวอน ริดลีย์: จากตัวประกันตาลีบันสู่อัล-อิสลาม
Yvonne Ridley: from captive to convert
ค.ศ.1958
โดย วาริษาฮ์ อัมรีล
ข้อมูลจาก http://www.newmuslimthailand.com/main/thirdpage.php...
หากใครโดนจับกุมและสอบสวนโดยตาลีบันในฐานะจารชนของสหรัฐฯ จากภาพที่มองผ่านสื่อตะวันตกแล้ว คงไม่มีใครคิดฝันว่าเรื่องจะจบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้งแน่ๆ
แต่สำหรับ อีวอน ริดลีย์, การถูกจับเป็นตัวประกันในอัฟกานิสถานกลับนำเธอหันศรัทธาไปสู่ศาสนาที่เธอบอกว่า "เป็นครอบครัวที่ใหญ่และดีที่สุดในโลก"
อีวอน ผู้เป็นคอเหล้าขนานแท้และดั้งเดิม, และครูสอนโรงเรียนศาสนาคริสต์วันอาทิตย์, หันมาเป็นมุสลิมหลังจากอ่านอัล-กุรอานตามสัญญาที่ให้ไว้กับตาลีบัน
เดือนกันยายน 2001 อีวอนเป็นหัวหน้านักข่าวของซันเดย์เอ็กซ์เพรส, หนังสือพิมพ์ของอังกฤษ, เธอแอบปลอมตัว, สวมชุดคลุมทั้งตัวแบบผู้หญิงอัฟกัน, เข้าไปในอัฟกานิสถานผ่านทางชายแดนปากีสถาน "ฉันเป็นคนเขียนข่าวด้านมนุษยธรรมเกี่ยวกับความหวังและความกลัวของชาวอัฟกัน ฉันเข้ามาในอัฟกานิสถานได้สองวันแล้วก่อนที่จะโดนตาลีบันจับตัวเพราะเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและไม่มีวีซ่า"
ตอนผ่านด่านตรวจของตาลีบันใกล้เมืองจาลาลาบัด ลาของเธอถลาเดินออกไป เธอพยายามดึงบังเหียน แต่ในท่านั้นกล้องถ่ายรูปของเธอก็โผล่ออกมาจากใต้ชุดคลุม และบังเอิญอยู่ในสายตาของนักรบตาลีบันพอดี
แว่บแรกตอนที่เธอเห็นนักรบตาลีบันคนนั้นเดินอย่างโกรธเกรี้ยวเข้ามาหาเธอคืออะไรนะหรือ?
"ฉันคิดว่า ว้าว! - เด็กหนุ่มคนนี้หล่อชะมัดยาดเลย!" อีวอนบอก
"หมอนี่มีดวงตาสีเขียวแปลกตากว่าคนแถบนั้นในอัฟกานิสถาน และไว้หนวดเครา" แต่หลังจากนั้นความกลัวก็เริ่มเข้ามาแทนที่
"ฉันเจอเด็กหนุ่มคนนี้อีกทีตอนเดินทางออกจากอัฟกานิสถานหลังได้รับการปล่อยตัว เขาโบกมือให้ฉันจากในรถของเขา"
ริดลีย์คิดในตอนโดนตาลีบันจับกุมตัวว่า หากเธอไม่โดนข่มขืนหมู่ละก็, คงโดนขว้างด้วยหินจนตายแน่
"ฉันเดาไม่ออกเลยว่าจะเจ็บปวดยังไง แต่ก็สวดมนต์ว่า หากจะตายละก็, ขอให้ตายเร็วๆ หน่อย" เธอเล่า ตอนนั้นเธอถูกขังไว้ที่จาลาลาบัด ตาลีบันคิดว่าเธอเป็นสปาย ต่อมาถูกย้ายไปกรุงคาบุล
อีวอนโดนตาลีบันจับกุมไว้ 10 วันเต็ม ในไดอารีของเธอ อีวอนบันทึกไว้ว่า: "พวกเขา (ตาลีบัน) บอกเสมอว่า ฉันคือแขกของพวกเขา และบอกว่าหากฉันเสียใจ พวกเขาก็เสียใจด้วย ฉันไม่อยากเชื่อเลย...ฉันอยากให้ใครๆ ที่บ้านรู้จังเลยว่าฉันได้รับการปฏิบัติจากตาลีบันอย่างไร พนันกันเลยว่าทุกคนต้องคิดว่าฉันถูกตาลีบันทรมาน ทุบตี และทำทารุณกรรมทางเพศ, แต่เปล่าเลย, ฉันได้รับการปฏิบัติด้วยความสุภาพและให้เกียรติ เหลือเชื่อเลยจริงๆ"
ตาลีบันขังเธอไว้ในห้อง แต่ก็มอบกุญแจไว้ให้เธอด้วย พวกเขาเอาอาหารมาให้เธอวันละ 3 มื้อ แต่เธอไม่ยอมกิน เมื่อพวกเขาคะยั้นคะยอให้กินพร้อมบอกว่า "คุณเป็นแขกของเรานะ, พี่สาว" เธอคิดว่า 'คนนี้น่ะคงดีหรอก เดี๋ยวคนต่อไปคงใจร้าย มาพร้อมกับไฟฟ้าช็อตแหงๆ' วันที่สาม มีหมอมาเยี่ยมเธอ อีวอนคิดว่า 'คงทำแบบนี้กับพวกที่กำลังจะเอาตัวไปประหารทุกคนชัวร์' แต่หมอคนนั้นมาตรวจความดันเลือดของเธอ
มีอยู่วันหนึ่งระหว่างโดนคุมขัง รมช.ต่างประเทศของตาลีบันถูกเรียกเข้ามา เพราะอีวอนไม่ยอมเอากางเกงในออกจากราวตากผ้าในคุก ซึ่งทำให้นักรบตาลีบันบริเวณนั้นมองเห็นกางเกงในเธอหมด
"เขาบอกว่า 'ดูนะคุณ, คุณเล่นแขวนกางเกงในโชว์แบบนี้ นักรบเราหันไปมองก็บาปกันหมดนะสิ'"
"อัฟกานิสถานกำลังจะถูกบอมบ์โดยโดยประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่พวกตาลีบันกลับมากังวลเรื่องกางเกงในไซส์ยักษ์สีดำของฉัน"
"ฉันว่านะ, กองทัพสหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องบอมบ์อัฟกานิสถานหรอก - แค่เอาทหารหญิงสักกองพันหนึ่งขึ้นเครื่องแล้วโบกกางเกงใน แค่นั้นพวกตาลีบันก็วิ่งหนีหมดแล้ว!"
วันที่ 6 ล่ามบอกเธอว่า "พยายามทำตัวเป็นคนดีหน่อย คุณมีแขกพิเศษมาเยี่ยม" วันนั้นอิหม่ามมาเยี่ยมเธอ ถามเธอเรื่องศาสนาและเธอคิดอย่างไรกับอิสลาม แม้เธอจะรู้เรื่องอิสลามน้อยมาก อีวอนตอบอย่างกระตือรือร้น เมื่ออิหม่ามถามว่าเธอจะเปลี่ยนมารับอิสลามไหม อีวอนตอบว่า เธอไม่สามารถตัดสินใจกับชีวิตทั้งชีวิตได้ตอนอยู่ในคุกนี่ แต่สัญญาว่าหากออกไปจากคุกแล้วเธอจะอ่านอัล-กุรอาน
"มุลลอฮ โอมาร์ ผู้นำด้านจิตวิญญาณของตาลีบัน สั่งปล่อยตัวฉันในวันที่ 8 ตุลาคม 2001 ซึ่งการปล่อยตัวดังกล่าวสร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับโลกตะวันตก เพราะสหรัฐฯ และอังกฤษเพิ่งเริ่มถล่มอัฟกานิสถานก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว ตอนคาบุลโดนถล่ม ไม่มีใครคิดหรอกว่าฉันจะรอดชีวิตมาได้"
ตอนเธอกลับออกมาจากอัฟกานิสถาน มีเสียงสะท้อนอย่างไรบ้างนะหรือ?
"พวกหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ในโลกตะวันตกทั้งหลายเตรียมคำพาดหัวกันไว้เลยว่า ฉันจะพูดว่าโดน 'ทรมาน' 'ทำร้าย' 'ถูกข่มขืน' แต่ทั้งนักหนังสือพิมพ์และนักการเมืองทั้งหมดต้องช็อคกับคำบอกเล่าของฉัน ทุกคนต้องการเหยื่อ พวกเขาต้องการได้ยินฉันบอกว่าโดนทรมาน ทุบตี อะไรทำนองนั้น แต่เปล่าเลย ตาลีบันดีสุดๆ กับฉัน"
เมื่อกลับถึงลอนดอน อีวอนเริ่มอ่านคัมภีร์อัล-กุรอานตามที่ให้สัญญาไว้กับตาลีบัน
"ฉันตกใจมากกับสิ่งที่ฉันกำลังอ่าน - ไม่มีแม้แต่ขีดเดียว, ตัวอักษรเดียว, ถูกเปลี่ยนแปลงตลอด 1,400 ปีที่ผ่านมา"
"ฉันคาดว่าในอัล-กุรอานจะเต็มไปด้วยบทต่างๆ ที่เกี่ยวกับว่า จะทุบตีภรรยาคุณอย่างไร กดขี่ลูกสาวคุณอย่างไร แต่กลายเป็นว่ากลับเจอการส่งเสริมเสรีภาพของผู้หญิงแทน"
เธอบอกว่าสิ่งที่เธอเจอในอิสลามคือ "แนวทางการใช้ชีวิต หลักเกณฑ์แห่งชีวิตที่สะอาดและเรียบง่าย สิทธิเสรีภาพของสตรีหลายอย่างที่โลกตะวันตกยังปฏิเสธ"
อบู ฮัมซา อัล-มัซรี อิหม่ามมัสยิดด้านเหนือของลอนดอน เคยโทร.หาเธอแล้วบอกว่ายินดีต้อนรับเธอสู่อิสลาม เมื่อเธอบอกว่าเธอยังไม่ได้รับอิสลาม อิหม่ามบอกว่า "ไม่ต้องรู้สึกกดดันหรือเร่งรัด ชุมชนมุสลิมอยู่ตรงนี้แล้ว หากคุณต้องการความช่วยเหลือก็โทร.หาพี่น้องมุสลิมะฮ์คนไหนก็ได้"
"ตอนนั้นฉันคิดเพียงว่า เหลือเชื่อจริงๆ ฉันได้ยินแต่ข่าวร้ายๆ ของครูสอนศาสนาจากมัสยิดฟินส์เบอรรีปาร์คคนนี้ แต่เขากลับพูดจาดีมาก ฉันกำลังจะวางหูแล้ว แต่เขาพูดขึ้นมาว่า 'แต่มีเรื่องหนึ่งมีผมอยากให้คุณรู้ไว้ หากพรุ่งนี้คุณมีอุบัติเหตุหรือเสียชีวิต คุณจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์นะ'"
"ตอนนั้นฉันกลัวมาก เลยต้องพกคำปฏิญาณตน (ชาฮาดาฮ์) ติดกระเป๋าสตางค์ไว้ตลอดเวลา จนกระทั่งฉันกล่าวชาฮาดาฮ์รับอิสลามในวันที่ 30 มิถุนายน 2003"
อีวอนบอกว่า "ฉันได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดในโลก หากเรายังคงจับมือกันไว้มั่นคงแบบนี้ ไม่มีใครสามารถทำลายเราได้หรอก"
แล้วพ่อแม่ของเธอผู้นับถือเชิร์ชออฟอิงแลนด์ในเมืองเดอร์แฮมว่าไงล่ะ?
"ตอนแรกทั้งครอบครัวและเพื่อนฝูงของฉันรับไม่ได้เลย แต่ตอนนี้พวกเขาเห็นแล้วว่าฉันมีความสุขมากขึ้น สุขภาพดีขึ้น และพอใจในสิ่งที่ฉันเป็น"
"แม่ฉันเนี่ยดีใจมากๆ เลยที่ฉันเลิกเหล้าได้ซะที!"
อีวอนคิดอย่างไรเกี่ยวกับสตรีในอิสลาม?
"มีผู้หญิงที่โดนกดขี่ในโลกมุสลิม แต่ฉันก็สามารถพาคุณไปดูผู้หญิงกำลังโดนกดขี่ที่ถนนไทน์ไซด์ของอังกฤษได้เช่นเดียวกัน"
"การจำกัดสิทธิสตรีเป็นเรื่องของวัฒนธรรมท้องถิ่น ไม่ใช่อิสลาม คัมภีร์อัล-กุรอานพูดไว้ชัดแจ๋วเลยว่าผู้หญิงมีสิทธิเสมอภาคกับผู้ชาย"
และชุดแบบสตรีมุสลิมของเธอก็แสดงให้เห็นพลังแห่งสตรี, เธอบอก
"แล้วจะมีเสรีภาพได้อย่างไรล่ะ หากผู้หญิงยังถูกมองแค่ว่าสะโพกใหญ่เท่าไหร่ ขายาว ขาสวยรึเปล่า"
อีวอนแต่งงานมาแล้วสามครั้ง มีลูกสาวหนึ่งคน เธอบอกว่าอิสลามทำให้เธอไม่ต้องกังวลเรื่องผู้ชายอีกต่อไป
"ฉันไม่ต้องนั่งแกร่วรอโทรศัพท์จากผู้ชาย ไม่ต้องกังวลเรื่องผู้ชาย นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นที่ฉันไม่มีความกดดันว่าต้องมีเพื่อนชายหรือสามี"
"ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันโดนจับกุมตัวโดยอาณาจักรที่ดุร้าย ป่าเถื่อน ที่สุดในโลกอย่างตาลีบัน, แทนที่จะโดนจับโดยทหารอเมริกัน" เธอกล่าวในการอภิปรายที่มัสยิดในเมืองราเลย์ ถนนลิกอนสตรีท เมื่อต้นปี 2007
มีผู้บอกว่าการที่โดนจับเป็นตัวประกันทำให้เธอเกิดอาหารทางจิตที่เรียกว่า 'สตอกโฮล์มซินโดรม' ที่ตัวประกันพัฒนาความรู้สึกกลายเป็นเห็นใจผู้จับตัวเธอ
ริดลีย์, ในวัย 48, ปฏิเสธอย่างแข็งขัน บอกว่าระหว่าง 10 วันที่โดนกักขังโดยตาลีบันนั้นเธอดื้อสุดๆ
"ฉันเป็นนักโทษที่ร้ายกาจต่อผู้คุมสุดๆ" เธอบรรยาย "ฉันถ่มน้ำลายใส่, สาปแช่งผู้คุม ฉันไม่ยอมกินอาหารและน้ำที่พวกเขานำมาให้ ฉันกำลังอดอาหารประท้วง ฉันมาสนใจอิสลามเอาเมื่อโดนปล่อยตัวออกมาแล้ว"
อีวอนตอบคำถามของ Arabnews หนังสือพิมพ์ซาอุฯ ที่ว่า หากเธอไม่โดนตาลีบันจับตัว เธอจะเปลี่ยนมารับอิสลามไหม?
"ก็สงสัยอยู่นะ ฉันว่าฉันอาจจะทำข่าวตะวันออกกลางเหมือนกับนักข่าวทั่วๆ ไปโดยไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอิสลามเลย ซึ่งแย่มากเพราะอิสลามมิได้เป็นเพียงศาสนา แต่อิสลามคือแนวทางการใช้ชีวิต ดังนั้นนักข่าวทั้งหลายควรจะพยายามศึกษาและเข้าใจอิสลามให้มากกว่านี้ หากฉันไม่โดนจับโดยตาลีบันนะหรือ บางทีฉันอาจจะยังคงเป็นคริสเตียน ฉันพูดเสมอว่าฉันเคยคลุมหัวมาก่อน - ด้วยผ้าคลุมแห่งความดื้อรั้นและอคติต่ออิสลามไง และที่แย่ก็คือ ฉันเดาว่าหากไม่มาเป็นมุสลิมฉันก็คงยังถูกคลุมด้วยผ้าแห่งความดื้อรั้นและอคติผืนนั้นอยู่"
อีวอนคิดว่าสื่อมวลชนตะวันตกอคติต่ออิสลามหรือเปล่า?
"มีแน่นอน ส่วนใหญ่มาจากการที่นักข่าวตะวันตกขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอิสลาม บางคนก็เขียนข่าวตามที่รัฐบาลป้อนให้หมด บางคนก็ถูกหลอกให้เขียนข่าวโฆษณาชวนเชื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันจะไม่บอกละนะว่านักข่าวที่ตามไปกับกองทัพคนไหนบ้างที่เป็นแบบนี้ อย่างช่วง 9/11 น่ะ นักข่าวคนไหนกล้าตั้งคำถามกับปธน.บุชจะถูกหาว่าไม่รักชาติ แต่บางคนก็แฟร์ มีเหตุผลดี อย่างตอนไปสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้ฉันพบว่าสื่ออเมริกันตื่นขึ้นมาทำงานของตัวเองกันบ้างแล้ว"
จากประสบการณ์ของเธอในอัฟกานิสถาน มีตัวอย่างข่าวจากที่นั่นบ้างไหมที่เป็นการสร้างภาพให้ตรงข้ามกับความจริง?
"สิ่งที่ถูกเรียกว่าการปลดปล่อยกรุงคาบุลน่ะ กลายเป็นเรื่องโกหกโดยสื่อมวลชนที่บิดเบือนภาพที่แท้จริงเพื่อให้ถูกใจผู้ชมในโลกตะวันตก อย่างภาพที่ถ่ายออกมาให้เห็นว่าผู้หญิงโยนชุดคลุมลงในกองไฟ ผู้ชายอัฟกันโกนเครานั้น สิ่งที่กล้องไม่ได้ถ่ายให้คุณดูด้วยในตอนนั้นก็คือภาพที่สื่อมวลชนตะวันตกแสนร่ำรวยเหล่านี้จ่ายเงินให้กับนักแสดงเหล่านั้นคนละเท่าไหร่ สื่อตะวันตกต้องการส่งภาพ 'ความสุข' เหล่านี้ไปให้ผู้คนที่บ้านเท่านั้นเอง และก็มีเรื่องโกหกพกลมเรื่องความลับเรื่องนิวเคลียร์ของบินลาเดน มีนักข่าวโง่ๆ คนหนึ่งจ่ายเงิน 500 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อเอาเรื่องราวเกี่ยวกับแผนการนิวเคลียร์ของบินลาเดน...แต่กลับกลายเป็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเนื้อหาในวิชาฟิสิกส์ของเด็กนักเรียน!"
อีวอนเคยเป็นนักข่าวของ ซันเดย์ไทมส์, ซันเดย์ เอ็กซ์เพรส, ดิออบเซอร์เวอร์, เดลีมิเรอร์, และ ดิอินดิเพนเดนท์ ซันเดย์
อีวอนเขียนหนังสือสองเล่มคือ In the hands of the Taliban และ Ticket to paradise
ปัจจุบันเธอทำงานเป็นบรรณาธิการข่าวการเมืองของทีวีอิสลามยุโรป Islam Channel และเขียนคอลัมน์ให้หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ของมุสลิมสหรัฐฯ Muslim Weekly
นอกจากนี้แล้ว ทุกวันนี้ อีวอน ริดลีย์, พี่สาวคนเก่งของเรา, ยังเดินทางทั่วโลกเพื่อเผยแพร่อิสลาม, ความจริงหนึ่งเดียวของมนุษยชาติ
อ้างอิง: http://www.wrmea.com/archives/May-June_2005/0505044.html
http://www.yvonneridley.org/article.php?id=54
http://www.thedailystar.net/maga.../2004/04/04/interview.htm
http://news.bbc.co.uk/1/hi/england/3673730.stm
http://www.arabnews.com/?page=21§ion=0&article=62653&d=23&m=4&y=2005
http://www.arabnews.com/?page=9§ion=0&article=80380&d=6&m=9&y=2006
http://www.guardian.co.uk/.../story/0,1284,1154559,00.html
ขอขอบคุณข้อมูลจากเฟสท่านนี้ครับ Yabasheet Chombhunuch
ส่วนใครที่อยากรู้ที่มาที่ไปของอัฟกันนิสถานดูเพิ่มจากลิ้งค์นี้เลยครับ https://www.youtube.com/watch?v=SNVCRT7p0CQ
สรุปสั้นๆ
ในวันนี้ใครจะมองฎอลิบันยังไงผู้เขียนก็ไม่รู้หรอกนะครับ แต่สิ่งที่เขาสัญญานั่นก็นับได้ว่าเขาได้แบกภาระหน้าที่และความรับผิดชอบแล้ว ถ้าเขาผิดสัญญาเขาก็ไม่ต่างจากผู้ที่กลับกลอก ถ้าเขาทำตามสัญญานั่นเท่ากับว่าเขาเข้าใจศาสนา เราในฐานะคนนอกเป็นได้แค่ผู้ดูแหละครับ อยากให้ปัญหาบ้านเขาคลี่คลายลงด้วยดี การตัดสินโดยที่ไม่เข้าใจบริบทจะทำให้เราเป็นคนหูเบาครับ เรื่องของโองการหรือคำพูดของท่านนบีก็มีเยอะแยะครับที่พูดถึงความประเสริฐของการแสวงหาความรู้ ผมจะยกให้ท่านผู้ชมซักตัวอย่างปิดท้าย
ท่านนบีมูฮัมมัด(ซ.ล) ได้กล่าวว่า
مَنْ سَلَكَ طَرِيقًا يَلْتَمِسُ فِيهِ عِلْمًا سَهَّلَ اللَّهُ لَهُ طَرِيقًا إِلَى الْجَنَّةِ رواه مسلم
“ใครก็ตามที่ได้ออกไปบนหนทางการแสวงหาความรู้ อัลลอฮฺจะทรงทำให้ง่ายดายแก่เขาซึ่งหนทางไปสู่สวรรค์”
(รายงานโดยมุสลิม)
คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น