พ่อค้าวิเศษ กับชายชรา บทที่ 1

บทความนี้ ผมได้แรงบันดาลใจ จากภาพวินาทีแห่งความสวยงาม ที่แสนจะยิ่งใหญ่ และมีความหมาย

ในขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปซื้อของหน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง (7 eleven) ผมสังเกตเห็นชายชราคนหนึ่ง กำลังเดินออกจากประตูบานเลื่อนอัตโนมัติ โดยที่มือซ้ายถือไม้เท้าสำหรับช่วยเดิน และมือขวาถือถุงขนมปังและขนมอื่นๆ 2-3 ชิ้น

ชายชราคนนี้ ถือขนมที่ตัวเองซื้อมาเอง และค่อยๆ เดินออกมาจากหน้าประตูบานเลื่อนอัตโนมัติช้าๆ ด้วยความยากลำบาก และความคิดแรก ที่เข้ามาในหัวของผมในตอนนั้น คือ ต้องมีใครสักคนมาช่วยชราคนนี้อย่างแน่นอน แต่หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที มันก็เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ ที่สอนบทเรียน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด บทเรียนหนึ่งให้กับผม

โดยในขณะที่ผมคิดว่า จะต้องมีใครสักคน เข้ามาช่วยเหลือชายชราคนนี้อย่างแน่นอน แต่ภาพที่ผมเห็น คือ มีคนหนุ่มสาวที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ต้นๆ จำนวนหลายคนที่เห็นชายชราคนนี้ แต่กลับไม่มีใครแม้แต่คนเดียวเลย ที่จะเดินเข้ามาช่วยเลยชายชราคนนี้ และทุกคนก็ทำเหมือนกับว่า ไม่ได้มองเห็นชายชราคนนี้เลยทั้งๆ ที่ทุกคนต่างก็หันมามองในตอนที่ประตูบานเลื่อนอัตโนมัติเปิดออก

และหลังจากที่ผมจมอยู่กับความคิดนี้เพียงแค่ไม่กี่วินาที ผมก็ได้เห็นภาพที่ผมนั้นแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความซาบซึ้ง และชื่นชมเลย เพราะพ่อค้าลูกชิ้นคนหนึ่งรีบเดินเข้ามาหาชายชราคนนี้ ด้วยความรวดเร็ว และในมือก็มีถุงพลาสติกสำหรับใส่และถือของ พ่อค้าลูกชิ้นคนนี้เดินเข้ามาด้วยความรวดเร็ว โดยที่ผมเองก็ตกใจว่า เขาเดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะผมจำได้ว่า ก่อนที่จะเดินมาถึงหน้า 7 eleven นั้น ผมยังเห็นรถขายลูกชิ้นถูกจอดไว้อยู่เลย แต่ไม่ได้เห็นเขา

แต่ทำไม เพียงแค่ไม่กี่วินาทีต่อมา พ่อค้าลูกชิ้นคนนี้ ถึงมาโผล่อยู่ตรงหน้าชายชราคนนี้ได้ ด้วยท่าทาง และการแสดงออกที่อ่อนโยน และจริงใจ เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้น และจบลงไปอย่างรวดเร็ว พ่อค้าลูกชิ้นคนนี้ ไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรเลย ทำเพียงแค่ก้มหัวลงแสดงความเคารพชายชราคนนี้หนึ่งครั้ง เหมือนเป็นการขออนุญาต ก่อนจะหยิบขนมในมือของชายชราใส่ลงในถุงพลาสติก และก็ก้มหัวลงเล็กน้อยแสดงความเคารพอีกครั้ง ก่อนจะยื่นถุงหิ้ว ลงไปในมือของชายชรา

และเหตุการณ์ก็ได้ผ่านไป แต่ภาพของเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผมยังคงอยู่ในหัวของผมไม่จางหายไปไหนเลย และมันยังคงชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น และหลังจากกลับมาจากร้านสะดวกซื้อ ผมก็กลับมาคิดทบทวน และใช้เวลาอยู่กับตัวเอง จนผมคิดได้ว่า ถ้าหากในตอนนั้น มีคนกำลังจะตาย และผมเป็นคนๆเดียวที่เห็นเหตุการณ์ ผมยังจะรอ และคิดว่า จะมีใครสักคนมาช่วยอีกหรือไม่

และเหตุการณ์นี้ มันก็สอนให้ผมรู้ว่า หากเราทุกคนเอา แต่คิดว่า จะมีใครสักคนมาทำในสิ่งที่เราคิด สุดท้ายก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย และทุกสิ่งที่เลวร้าย ก็อาจจะสายเกินไปที่จะแก้ไข ดังนั้น ตัวเราเองนั่นแหละ ที่ต้องเป็นคนลงมือทำด้วยตัวเอง และลองคิดดูว่า จะเป็นยังไง หากทุกคนคิดเหมือนกับเรา ที่คิดแต่จะรอให้ใครสักคน มาทำแทนตัวเอง ซึ่งผลลัพธ์ ก็คือ สุดท้ายก็จะไม่มีใครทำอะไรเลย และก็จะไม่มีอะไรดีขึ้นด้วย และผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือเหล่านั้น ก็จะถูกเราทุกคนทอดทิ้ง ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ก็สอน และเตือนสติเราว่า อย่าติดอยู่กับความคิดมากเกินไป เพราะจะทำให้เรา ลงมือทำในสิ่งที่ควรทำน้อยลง

บทความโดย : Worawut Roengmi

ขอขอบคุณรูปภาพประกอบทั้งหมดจาก Unsplash

ชอบบทความนี้หรือไม่? รับทราบข้อมูลโดย เข้าร่วมรับจดหมายข่าว!

ความเห็น

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับผู้เขียน

บทความล่าสุด
เม.ย. 28, 2023, 2:40 หลังเที่ยง Sugarmommy
เม.ย. 28, 2023, 2:37 หลังเที่ยง เบญจพิธพร
เม.ย. 27, 2023, 12:49 หลังเที่ยง ศลิล ตันวิสุทธิ์