วันนี้เป็นวันธรรมดาทั่ว ๆ ไปวันหนึ่ง พยาบาลได้รับแจ้งว่าจะมีคนไข้เข้านอนในหอผู้ป่วยเพื่อเตรียมเจาะไตวันพรุ่งนี้ แต่มีอาการเจ็บอก คลื่นหัวใจผิดปกติเล็กน้อยแต่อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย เจาะเลือดเพื่อดูการทำงานของหัวใจไม่มีอะไรผิดปกติ มีเพียงแค่หัวใจโต
เมื่อเจ้าหน้าที่เวรเปลนำคนไข้มาถึงวอร์ด พบว่าเป็นคนไข้เพศชายวัยกลางคนร้องเจ็บที่อกตลอด พาขยับลงเตียงก็มีสีหน้าทุกข์ทรมานมากเนื่องจากเจ็บที่บริเวณเอว
เราเข้าไปซักประวัติและประเมินอาการหลังจากทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง พบว่าคุณลุงมา รพ.ด้วยตนเองเพียงลำพัง ขณะรอตรวจที่ OPD อยู่ ๆ ก็ล้มลงจับที่หน้าอก แล้วถูกนำเข็นส่งห้องฉุกเฉิน
เราซักถามเบอร์ญาติ คุณลุงตอบ
"ผมและญาติทะเลาะกัน ไม่ได้ติดต่อกันแล้ว ตอนนี้ผมอยู่ตัวคนเดียว"
เราฟังแล้วใจหาย ไม่รู้จะถามอย่างไรต่อ ทำได้แค่จดเบอร์โทรศัพท์ของคนไข้ลงไปแล้วถามต่อว่าที่อยู่ปัจจุบันคือที่ไหน
คุณลุงทำสีหน้านิ่งตอบ
"ผมไม่มีบ้านให้กลับหรอก เร่ขายของที่ทำเองไปเรื่อย"
เรารู้สึกจุกในอก ไม่อยากรับรู้ความรู้สึกไม่ดีเลย แต่ถามคุณลุงต่อไปว่าเดินทางมาที่นี่อย่างไร มีเงินติดตัวหรือไม่ คุณลุงตอบน้ำเสียงเรียบเฉย
"ผมมาเอง ขึ้นรถประจำทางมา หมดเงินประมาณ 200 บาท มีเงินติดตัวตอนนี้อยู่ 800 บาท
ผมไม่อยากเป็นภาระใคร ผมมีเงินอยู่ ดูแลตัวเองได้ ตอนนี้เดินไม่ค่อยไหว แต่ซื้อไม้ค้ำมาพยุงตัวเองเดินไปได้เรื่อย ๆ อยู่
เมื่อก่อนอยู่กับญาติ ก็มาโกงเงินผมไปหมด ผมทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่หาเงินใหม่"
เราเป็นห่วงเรื่องการเงินของผู้ป่วย ประเมินแล้วว่าเคสนี้อาจต้องติดต่อสังคมสงเคราะห์ให้มาประเมินหน้างานอีกที
คุณลุงพูดตอบมาแต่ละอย่างทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตของบางคนนั้นสู้ชีวิตเหลือเกิน ต้องดิ้นรนจนเหนื่อย แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จดังใจหมาย เรานับถือใจคุณลุงที่สู้ชีวิตมาถึงตอนนี้ได้ เก่งมากเลย
ระยะเวลาที่คุณลุงอยู่ รพ. รวมทั้งสิ้นประมาณ 3 สัปดาห์
จากมาเพียงแค่เจาะไต ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ช่วงระหว่างนอน รพ.มีมากขึ้น จนคุณหมอเจ้าของไข้ต้องปรึกษาหมอเกือบทุกสายใน รพ.
จากวันแรกที่ยังพอพยุงตัวเองนั่งกินข้าวได้ แต่ตอนนี้ทำได้เพียงนอนนิ่งเนื่องจากมะเร็งลุกลามไปที่กระดูกจนปวดตัวไปหมด ลามไปที่ไขสันหลังจนทำให้ร่างกายส่วนล่างอ่อนแรง กลั้นอุจจาระและปัสสาวะไม่ได้
คุณลุงอยากกลับบ้าน จนตอนนี้ยังบอกพยาบาลว่า
"ผมไม่อยากเป็นภาระใคร อย่างน้อยขอให้ช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด สามารถนั่งรถเข็น (Wheel chair) ได้ ผมอยากเก็บเงินซื้อ ส่วนไม้ค้ำ ผมคงไม่ได้ใช้ ขอบริจาคให้คนไข้คนอื่น"
เรารุ้สึกว่าคุณลุงแม้จะป่วยกาย แต่ไม่ป่วยใจ เป็นคนที่เข้มแข็งมาก
เมื่ออาการเริ่มทุเลา ไม่มีความรุนแรงมาก คุณหมอตัดสินใจย้ายกลับ รพ.ต้นสังกัดตามสิทธิ์ และเพื่อตอบโจทย์ความจำนงค์ของผู้ป่วย
พยาบาลโทรหาญาติทุกคนของคนไข้ที่เป็นสายตรง ไม่มีใครยอมรับสายเลย
มีเพียงญาติ 1 คนที่รับสายและตอบกลับมาว่า "ฉันดูแลคนป่วยอยู่ 1 คน หากรับอีกคนมา ฉันคงไม่ไหว"
คนไข้แอบฟังอยู่ไม่ไกล สีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาแสดงให้เห็นว่ารู้สึกเสียใจ เบือนหน้าหนีไปอีกทาง
ในตอนแรกเราได้ติดต่อสังคมสงเคราะห์และศูนย์พักพิงคนไร้บ้านไป พบว่าไม่สามารถรับคนดูแลเพิ่มได้เนื่องจากเต็มจำนวนแล้ว
แต่ถึงอย่างไร สุดท้ายเราก็ต้องย้ายกลับ รพ.ต้นสังกัดที่ส่งตัวมาก่อนอยู่ดี
เราไม่รู้จะตอบคุณลุงยังไงดี ได้แต่เข้าไปถามว่าหลังกลับ รพ.ใกล้บ้าน จะทำอย่างไรต่อ "ผมมีญาติคนหนึ่งที่พอคุยกันได้อยู่ที่นั่น ผมจะให้เขามาเยี่ยม" อย่างน้อยที่สังเกตเห็นคือคุณลุงดูมีสีหน้าดูสดใสขึ้น คงดีใจที่จะได้กลับใกล้บ้าน
จากนั้นคุณลุงก็โทรศัพท์หาญาติคนที่พยาบาลเพิ่งคุยไป เราได้ยินบทสนทนาจากระยะไกล "มาเยี่ยมแหน่เด้อ สิเอาเงินค่าเดินทางให้ดอก" คุณลุงไม่ถือโทษโกรธญาติคนนี้เลย แกเข้าใจว่าคนที่ดูแลคนป่วยนั้นเหนื่อยเพียงใด
จุดมุ่งหมายของคุณลุงคือไม่อยากผ่าตัด สิ่งใดจะเกิดก็ย่อมเกิด พร้อมยอมรับมัน
ถึงจุดนี้ เราไม่รู้ว่าจุดสุดท้ายของเรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร แต่ทางเราได้ทำเต็มที่ที่สุดแล้ว เราได้ประสานทีมช่วยเหลือประคับประคองผู้ป่วยให้มาดู ซึ่งทีมได้ติดต่อไปยังทีมของ รพ.ต้นสังกัดให้ช่วยดูแลติดตามต่อไป
ทุกครั้งที่ดูแลคนไข้ เราจะจดจำสิ่งที่อาจารย์สอนได้เสมอ
ตอนสมัยเรียนอาจารย์ถามว่า "นักศึกษาจะจัดการกับความรู้สึกตนเองอย่างไรเมื่อเห็นคนไข้ทุกข์ใจ ทรมานกับโรค หรือมีการเสียชีวิต" หลายคนตอบว่า รู้สึกเสียใจ ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นเลย อาจารย์ตอบว่า
"หนูสามารถรับรู้ได้ รู้สึกได้ เห็นใจได้ ให้เป็นความรู้สึกแบบ Empathy ไม่ใช่ Sympathy"
เพราะ Empathy เป็นความเข้าอกเข้าใจ ส่วน Sympathy เป็นการเข้าไปมีอารมณ์ร่วมรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น
หากเรารู้สึก Sympathy เวลาดูแลคนไข้นั้น เราจะรับความรู้สึกของคนไข้อย่างท่วมท้นมากไป จนจัดการต่อตนเองและตอบสนองอย่างไม่เหมาะสม อย่างเช่น รู้สึกเสียใจที่คนไข้ปวดมากจากมะเร็งจนร้องไห้ เข้าใจความรู้สึกญาติที่สูญเสียคนไข้จนร้องไห้ไปด้วย ทำเช่นนี้ตัวคนไข้และญาติจะไม่มีหลักพึ่งพิงทางอารมณ์ในขณะที่เขากำลังเผชิญปัญหาค่ะ
หลายคนมองว่าพยาบาลอาจเคยชินกับเรื่องการเจ็บป่วยและการตายของคนไข้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าเราไม่เคยชินเลยสักครั้ง
เราไม่อยากเห็นคนไข้ทนทุกข์ทรมาน มาถึงมือเรา เราดูแลได้เต็มที่ สุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไรก็สุดแต่โชคชะตาจะนำทาง
ภาพประกอบจาก unsplash.com
คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น