ว่าด้วยเรื่องของความคิดถึง….
ในวันนี้ขณะที่กำลังนั่งหาเมนูอาหารกินเป็นข้าวเย็น ผู้เขียนก็ได้เลื่อนเฟสบุ๊คเรื่อยๆตามประสาคนสมองโล่ง เลื่อนไปเลื่อนมาก็เห็นโพสต์อดีต วันนี้เมื่อปีที่แล้วของเฟสบุ๊ค ขึ้นโชว์รูปภาพคุณตาของผู้เขียน
คุณตาที่แสนดีที่ได้จากผู้เขียนไปด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว…
คุณตาที่เป็นคนเลี้ยงดู ไปรับไปส่งผู้เขียนตั้งแต่อนุบาล จนผู้เขียนเรียนจบมัธยม…
ผู้เขียนนั่งมองภาพคุณตา แล้วก็คิดถึงเรื่องราวในอดีต…
ช่วงเวลาที่คุณตารับรถไปส่งผู้เขียนในตอนเช้าตรู่…
คุณตาที่นั่งรอผู้เขียนเลิกเรียนในตอนเย็น…
คุณตาที่รีบมารับผู้เขียนไปโรงพยาบาลเพราะโรงเรียนโทรแจ้งว่าผู้เขียนเจ็บท้อง…
คุณตาที่อุ้มผู้เขียนที่เป็นลมหน้ามืดหน้าห้องน้ำเพราะผู้เขียนนอนน้อย…
คุณตาที่เป่าแผลให้ไม่ว่าจะแผลเล็กหรือใหญ่…
คุณตาที่เฝ้าพร่ำสอนผู้เขียนว่าให้เป็นคนอ่อนโยนแต่อย่าอ่อนแอ เข้มแข็งแต่อย่าแข็งกระด้าง…
คุณตาที่คอยเล่านิทานให้ผู้เขียนฟังทุกคืนก่อนนอน…
คุณตาที่คอยสอนคอยเฝ้าผู้เขียนสวดมนตร์ขอพร…
คุณตาที่ไม่เคยบอกรักผู้เขียนเลยสักครั้งเวลาพูดเขียนถาม แต่คุณตาแสดงผ่านการกระทำอย่างชัดเจนและสม่ำเสมอ…
คุณตาทำให้ผู้เขียนรู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องพูดคำว่ารักออกมาพร่ำเพรื่อ…
…..
มาตอนนี้ ก่อนคุณตาเสีย ผู้เขียนไม่ได้ไปดูใจหรือทราบเรื่องคุณตาเสียเลย เพราะคุณตาป่วยเข้าโรงพยาบาลในขณะที่ผู้เขียนเขียนมหาวิทยาลัย ผู้เขียนจำได้ดี.. ในวันที่คุณแม่โทรมาบอกว่าคุณตาเสียแล้ว โลกทั้งใบในตอนนั้นคล้ายจะหยุดหมุน คุณตาที่เมื่อคืนก่อน ที่เรายังโทรคุย โทรบอกคิดถึงกันอยู่เลย ทำไมจู่ๆคุณแม่ถึงบอกว่าคุณตาเสียแล้วละ….
ผู้เขียนเคยสงสัยว่าทำไม… เวลาผู้เขียนถามคุณตา เรียกร้องให้คุณตาสัญญาว่า ให้อยู่จนผู้เขียนแก่เลยนะ ผู้เขียนร้องขอว่า ขอให้ผู้เขียนเป็นคนแรกที่จากไปได้มั้ย ผู้เขียนไม่อยากเห็นคนที่รักตายจากไปก่อน ผู้เขียนรักทุกคนในครอบครัวมากๆ เป็นความเห็นแก่ตัว ที่ไม่อยากเจ็บปวดหรือโศกเศร้าไปกับความทุกข์หรือความเสียใจ คุณตาไม่เคยสัญญาหรือรับปากผู้เขียนเลยสักครั้ง….
คุณตาจะพูดประโยคนี้ต่อท้ายคำขอของผู้เขียนเสมอว่า “ตาอยู่ไม่ถึงหรอกลูก….คนเราเมื่อถึงเวลา มันก็จากไปกันไปทั้งหมดนั่นแหละ” ผู้เขียนเข้าใจและรับรู้ความหมายอย่างชัดเจน แต่ก็ยังไม่กล้ายอมรับ ลึกๆแล้วผู้เขียนกลัวโลกที่ไม่มีคนที่ผู้เขียนรักอยู่เลย ผู้เขียนกลัวการพรากจากผ่านความตาย…
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่ผู้เขียนกำลังช๊อคและกลับบ้านมาช่วยพิธีศพ คุณแม่เล่าให้ฟังว่า ตลอดเวลาที่คุณตานอนอยู่ที่โรงพยาบาล คุณตาห่วงผู้เขียนมาก กลัวผู้เขียนไม่มีเงินเรียน คุณตาบอกคุณแม่ว่า เงินน่ะ หาเมื่อไหร่ก็ได้ คุณตาและคุณแม่ไม่ได้อยู่กับผู้เขียนจนตาย มีแต่ความรู้นั่นแหละที่จะอยู่กับผู้เขียน คุณตาคือครูคนแรกในชีวิตของผู้เขียน คือคนที่คอยสอน คอยอบรม คอยดูแลผู้เขียนในทุกๆเรื่องทุกสิ่งทุกอย่าง
ในวันนี้ ผู้เขียนได้พร่ำเพ้อหาคุณตา ขออภัยที่เนื้อหาไม่ได้มีความรู้หรือข้อคิดเชิงรูปธรรมที่หลายๆคนอยากได้ ผู้เขียนตั้งใจ จะบอกเล่าเรื่องราว ความน่ารัก ความดี ความใส่ใจ ของคุณตาผู้เขียนให้เก็บไว้เป็นความทรงจำ ผู้เขียนไม่กล้าคิดถึงไปถึงอนาคต ในวันที่ผู้เขียนเริ่มเติบใหญ่ ในวันที่ความทรงจำเกี่ยวกับคุณตาจางหาย ผู้เขียนขอใช้พื้นที่ตรงนี้ เป็นกล่องเก็บความทรงจำของผู้เขียนเอง และขอใช้พื้นที่ตรงนี่ในการแบ่งปันความรู้สึกคิดถึง ให้ทุกๆท่านได้รับทราบ และย้อนกลับไปมองคนสำคัญในชีวิต อย่าลืมดูแลเขาให้ดี อย่าเสียดายในวันที่สายไป เพราะเมื่อเราเสียไปแล้ว ต่อให้มีเงินล้นฟ้า ก็ไม่สามารถทำให้คนที่จากเราไปแล้วฟื้นคืนชีพกลับมาได้
ผู้เขียนไม่เคยเสียดายอะไรเลยในชีวิต เพราะคุณตาสอนว่า อยากทำอะไร ก็ทำเลย อยากบอกรักก็บอก อย่าให้มันเกิกความรู้สึกที่ว่า ถ้าย้อนอดีตกลับไปได้ น่าจะทำ…..แบบนี้
ผู้เขียนเพียงแค่คิดถึง คุณตาที่อยู่บนฟ้า คุณตาที่ไปอยู่ในที่ที่ผู้เขียนไปหาไม่ได้
ผู้เขียนอยากให้คุณตามีชีวิตที่ยืนยาวมากกว่านี้ รอดูความสำเร็จของผู้เขียนไปเรื่อยๆ
ในท้ายที่สุดแล้ว การจะร้องให้ในงานก็ไม่สามารถทำได้ เพราะคุณตาสอนไว้ว่า อย่าร้องให้ให้ใครเห็น อย่าแสดงด้านอ่อนแอออกมาให้ใครจ้องจะทำร้าย
คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น