ชอบแปลว่า รักหรือเปล่า และแอบชอบ มีอาการยังไงบ้าง

ความชอบ คือ ความรู้สึกพึงพอใจ ในตัวบุคคลใด บุคคลหนึ่งเป็นพิเศษ ด้วยเสน่ห์ของรูปร่าง และลักษณะภายนอกที่มองเห็น เช่น หน้าตา ที่มีความสวย หรือหล่อ หรือสัดส่วนของร่างกาย เช่น สูง ต่ำ เล็ก ใหญ่ ผอมบาง สมบูรณ์

ความชอบเป็นเพียงแค่ความรู้สึกพึงพอใจ แต่คนส่วนใหญ่ มักจะเข้าใจผิดคิดว่า ความชอบ คือ สิ่งที่เรียกว่า รัก ความชอบ ไม่ใช่ ความรัก แต่ความชอบ คือ ความรู้สึกที่จะพัฒนาไปสู่ความรัก

ความรู้สึกพึงพอใจ คือ ความรู้สึกที่เกิดจาก การรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ ตา ที่ใช้ในการดู หู ที่ใช้ในการฟัง จมูก ที่ใช้ในการดม เพื่อรับรู้กลิ่น ปาก ที่ใช้ในชิม หรือลิ้มลอง เพื่อรับรู้รสชาติ และมือที่ใช้ในการจับ หรือสัมผัส

โดยธรรมชาติไม่ว่า จะเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (เพศที่ 3 LGBT) สิ่งแรกที่เราทุกคนมักจะทำโดยอัตโนมัติ เมื่อพบเจอกับเพศตรงข้าม หรือเพศเดียวกัน คือ การสแกน หรือการพิจารณาว่า บุคคลที่พบเจอนี้ เหมาะสมตรงตามสเปกหรือไม่ โดยประสาทสัมผัสแรกที่เราทุกคนมักจะใช้ในการพิจารณา เพศตรงข้าม หรือเพศเดียวกันที่พบเจอ คือ ดวงตา ที่เราใช้ในการมอง รูปร่าง หน้าตา และสัดส่วนต่างๆของร่างกาย และประสาทสัมผัสที่สองที่เรามักจะใช้ต่อจากดวงตา ก็คือ หู ที่เราใช้ในการฟังเสียง หากเป็นผู้ชาย ก็จะพยายามหาวิธีในการฟังเสียงของผู้หญิงว่า มีลักษณะเสียงในการพูดเป็นอย่างไร นุ่มนวลน่าฟังหรือไม่ ไพเราะอ่อนหวานหรือไม่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล ผู้หญิงเองก็เช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิด หรือไม่ดี แต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องปกติ และเป็นเรื่องธรรมชาติ

ความรู้สึกชอบ หรือความรู้สึกพึงพอใจ ในตัวของใครสักคน เป็นความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับความรู้สึก ในตอนที่เราจะเลือกซื้อสินค้า (แต่มันไม่ได้หมายความว่า เราทุกคนต่างมองกันและกันเป็นแค่สิ่งของ เพียงแต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้น คือ ความรู้สึกเดียวกัน แต่แค่อยู่ในรูปแบบ และสถานะที่แตกต่างกัน) ยกตัวอย่าง เช่น หากเราจะซื้อเสื้อสักตัวหนึ่ง เราก็ต้องเลือกดูก่อนว่า เราชอบและพึงพอใจเสื้อตัวไหนมากที่สุด และดูว่าเสื้อตัวที่เราเลือก เหมาะกับเราหรือไม่ ใส่แล้วจะดูดีหรือเปล่า เช่นเดียวกันกับคน เราต้องรู้ใจตัวเองก่อนว่า ใคร คือ คนที่เรารู้สึกชอบมากที่สุด หรือใคร คือ คนที่เราคิดว่า มีความเหมาะสมกับเรามากที่สุด ฉะนั้น ความรู้สึกชอบ เป็นเพียงแค่ความรู้สึกพึงพอใจ (ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ) ในสิ่งที่เราคิดว่า น่าจะดีที่สุดสำหรับเรา

  • หากคุณอยากรู้ว่า ตัวเองกำลังอยู่ในความรู้สึกชอบใครสักคน หรือพึงพอใจใครสักคนอยู่หรือเปล่า ก็ให้ลองหารูปของคนที่คุณชอบ มาติดไว้บนหน้ากระดาษเปล่า จากนั้นให้เขียนข้อดี และข้อเสียของคนที่คุณชอบให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทำอีกครั้ง แต่คราวนี้ให้เปลี่ยนเป็นบุคคลอื่น

    ถ้าหากคุณเป็นผู้ชายก็ให้หารูปของผู้หญิงที่สวยกว่า หรือสวยเทียบเท่ากับคนที่คุณชอบ มาติด และก็เขียนข้อดี และข้อเสียให้ได้มากที่สุด โดยตัวเลือกของคุณจะเป็นใครก็ได้ เช่น ดารา นักร้อง นักแสดง ศิลปิน หรือคนธรรมดา

  • ถ้าหากคุณเป็นผู้หญิง ก็ให้หารูปของผู้ชายที่หล่อกว่า หรือหล่อเทียบเท่า มาติด และก็เขียนข้อดี และข้อเสียให้ได้มากที่สุด โดยที่ตัวเลือกของคุณจะเป็นใครก็ได้ เช่น ดารา นักร้อง นักแสดง ศิลปิน หรือคนธรรมดา 

    เมื่อคุณทำครบทำสองแผ่นแล้ว ก็ให้ลองอ่าน และหลังจากอ่านจบ ให้ใช้มือทั้งสองข้างหยิบกระดาษทั้งสองแผ่นขึ้นมาถือไว้ จะใช้มือขวา หรือมือซ้ายถือกระดาษแผ่นไหนไว้ก็ได้ จากนั้นให้คุณหลับตาลง และให้นับหนึ่งถึงสามภายในใจ ภายในสามวินาทีนี้คุณต้องเลือกหนึ่งคนที่คุณชอบมากที่สุด และหลังจากครบสามวินาทีแล้ว คุณต้องปล่อยรูปของคนที่คุณไม่ได้เลือกลง

คุณอาจกำลังสงสัยว่า ให้ทำแบบนี้ทำไม

คำตอบมีสองแบบ คือ

หนึ่ง หากคุณเลือกคนที่คุณชอบในครั้งแรก นั่นแปลว่า คุณกำลังชอบเขาอยู่จริงๆ

สอง หากคุณเลือกคนที่ไม่ใช่คนที่คุณชอบในครั้งแรก นั่นแปลว่า คุณก็กำลังอยู่ในความรู้สึกชอบเช่นกัน

ทีนี้ ผมจะถามคุณว่า คุณได้รู้สึกหวั่นไหว หรือมีความคิดที่จะเลือกคนที่สอง ที่ไม่ใช่ คนที่คุณชอบคนแรกบ้างหรือไม่

หากคุณตอบว่าไม่มี คุณคือ คนที่มีความซื่อสัตย์กับคนที่ชอบจริงๆ แต่ถ้าหากคุณตอบว่ามี คุณคือ คนที่มีซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง ไม่ว่าคำตอบของคุณจะเป็นแบบไหน คุณก็คือ คนที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความรู้สึกชอบอย่างแท้จริง เพราะอีกความรู้สึกหนึ่ง ที่ซ่อนอยู่ในความรู้สึกชอบ ก็คือ ความรู้สึก ที่ไม่ได้มั่นคง คือ ไม่ได้ยึดติดมาก หากปล่อยได้ก็ยินดีที่จะปล่อย และพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ โดยที่ไม่มีความกลัว ก็เปรียบเสมือนกับเสื้อ หากคุณไม่ได้เสื้อตัวที่คุณชอบในครั้งนี้ ก็ยังมีโอกาสในครั้งหน้า

อาการของคนที่อยู่ในห้วงแห่งความชอบ เป็นยังไง จากประสบการณ์จริง (ส่วนตัว)

อาการที่ 1 อยากมีเขาอยู่ในสายตาตลอดเวลา

ประสบการณ์จริง ทุกครั้งที่มาถึงโรงเรียนสิ่งแรกที่ผมจะทำ คือ การหาที่นั่งที่สามารถแอบมองรุ่นพี่ ที่แอบชอบได้ตลอดเวลา ซึ่งผมทำเป็นประจำทุกวันมาตลอด 1 ปีครึ่ง โดยที่เพื่อนๆของผมไม่มีวันจับได้เลย

อาการที่ 2 รู้สึกโหยหา อย่างน้อยที่สุดในหนึ่งวัน ก็ต้องได้เห็นหน้าหนึ่งครั้ง

ประสบการณ์จริง ผมจำได้ดีว่า ทุกกครั้งที่ไม่สบาย หรือรู้สึกว่า ตัวเองป่วย สิ่งแรกที่ผมจะทำในทันที คือ การหายามากิน และรีบพักผ่อน ผมไม่อยากที่จะป่วย เพราะกลัวว่า ตัวเองจะไม่ได้ไปโรงเรียน และสิ่งที่กลัวยิ่งกว่า คือ กลัวว่า จะไม่ได้เห็นหน้ารุ่นพี่ที่แอบชอบ ซึ่งก็มีอยู่หลายครั้ง ที่ผมดันทุรังแบกสังขารมาโรงเรียน ทั้งๆที่ตัวเองปวดหัว และแทบจะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว ไหนยังจะต้องเรียนอีก แต่สุดท้ายผมก็ทำมันจนได้ เพียงเพื่อที่จะได้เห็นหน้ารุ่นพี่ที่แอบชอบและพอคิดย้อนกลับไปก็นับถือในความพยายามของตัวเองมากเลย

อาการที่ 3 สนใจแต่เรื่องของเขา จนลืมเรื่องต่างๆไปเลย โดยไม่รู้ตัว

ประสบการณ์จริง ทุกวันที่ไปโรงเรียนเป้าหมายเดียวที่ผมไป คือ ไปเพื่อที่จะได้เห็นหน้ารุ่นพี่ที่แอบชอบ ซึ่งนอกจากการเรียน และพี่เขาแล้ว ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย บางครั้งแค่ได้เห็นหน้าพี่เขา ก็ทำให้ลืมวิชาที่เพิ่งเรียนไปเลย และวันต่อมาก็ไม่มีการบ้าน และงานส่ง เพราะลืมไปเลยว่า อาจารย์สั่งงานอะไร 

อาการที่ 4 หงุดหงิดกับเรื่องเล็กเรื่องน้อยง่ายกว่าปกติ

ประสบการณ์จริง ผมจำได้ดีว่า ทุกครั้งที่ผมไปโรงเรียน วันไหนที่พี่เขาไม่มาโรงเรียน วันนั้นทั้งวัน ผมจะหงุดหงิด และจะพาลใส่เพื่อน ไม่ว่าเพื่อนจะขอลอกการบ้าน หรืองานอะไรก็แล้วแต่ ผมก็จะดุด่า และไม่พูดอะไรเลย จนเพื่อนงอน 

อาการที่ 5 อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ง่ายมาก

ประสบการณ์จริง นอกจากจะหงุดหงิด และพาลใส่เพื่อนแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะชัดเจนมาก คือ อารมณ์จะไม่มั่นคง เดียวก็ดี เดียวก็ร้าย เช่น ขำอยู่ดีๆ พอนึกขึ้นได้ว่า วันนี้พี่เขาไม่มาโรงเรียน ก็เปลี่ยนโหมดมาเป็นอารมณ์เสียขึ้นมาทันทีเลย อารมณ์จะสลับกันไปมาทั้งวัน ซึ่งก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เพื่อนพูดกับผมว่า ประจำเดือนมาหรือยังไง ทำตัวอย่างกับผู้หญิง

อาการที่ 6 อยากอยู่ใกล้ๆ

ประสบการณ์จริง นอกจากอยากเห็นหน้าพี่เขาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ ผมจะทำเป็นประจำ คือ การพยายามเดินไปใกล้ๆ ที่พี่เขาอยู่ หรือพยายามหาจังหวะที่จะเดินสวนทางกัน โดยทำให้เนียนที่สุด ซึ่งก็มีอยู่หลายครั้ง ที่ผมมักจะพาเพื่อนๆ เดินอ้อมหอประชุมของโรงเรียน เพื่อไปยังโรงอาหาร ทั้งๆที่มีทางเดินที่ใกล้กว่า เพื่อนผมก็แปลกใจ และถามออกมาทุกครั้งว่า ทำไมต้องเดินอ้อมด้วย และมักจะบ่นให้ผมเสมอๆ เพราะการเดินอ้อมทำให้เสียเวลา และทำให้ต้องต่อคิวยาว แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ และยังคงทำต่อไปเรื่อยๆ เพียงแค่ได้เดินสวนทาง และมองหน้ากัน ผมก็ไม่อยากกินข้าวแล้ว

อาการที่ 7 เมื่อได้อยู่ใกล้ๆแล้ว ก็มักจะทำตัวไม่ถูก

ประสบการณ์จริง มีอยู่หลายครั้ง ที่ผมมักจะทำสำเร็จในการพยายาม ที่จะได้อยู่ใกล้ๆพี่เขา แต่พอทำได้แล้ว มีโอกาสแล้ว ก็ทำอะไรไม่ถูก และไม่รู้ว่า จะทำอะไรด้วย เลยต้องถอยออกมาเอง

อาการที่ 8 อยากรู้ อยากเห็น เรื่องที่มีเขาเกี่ยวข้องด้วยเสมอๆ

ประสบการณ์จริง สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะติดตามเสมอๆ คือ ข่าวคราวของพี่เขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ผมก็มักจะพยายามหาทางไปเสนอหน้าดูอยู่ห่างๆ เสมอๆ 

อาการที่ 9 อยากจะรู้ ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขา

ประสบการณ์จริง ผมพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้รู้จักพี่เขามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแอบดู Facebook ผมพยายามหาว่า พี่เขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร มีความฝันอะไร และอยากทำอะไร ในชีวิต

อาการที่ 10 อยากสารภาพความในใจ (เพ้อ และคิดไปเอง)

ประสบการณ์จริง หลังจากที่ผมแอบชอบพี่เขามาตั้งแต่ ม.4 จนขึ้นมาอยู่ชั้น ม.5 ก็เป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว ผมเลยตัดสินใจว่า จะหาวิธีบอกชอบพี่เขาให้ได้ เพราะพี่เขาก็ขึ้น ม.6 แล้ว ซึ่งก็เป็นปีสุดท้ายแล้ว ผมต้องบอกให้เร็วที่สุด แต่ไม่ว่า จะทำยังไง สุดท้ายผมก็หาวิธีที่จะบอกไม่ได้ และทุกวัน ทุกคืนก็ชอบคิดไปเอง และเพ้อไปเองคนเดียว

อาการที่ 11 เริ่มอยากที่จะดูดีในสายตาของเขา

ประสบการณ์จริง ตั้งแต่เกิดมาผมแทบไม่เคยที่จะสนใจเลยด้วยซ้ำว่า ใครจะมองยังไง ทำให้การแต่งกาย เสื้อผ้า หน้าผม ผมแทบจะไม่ใส่ใจอะไรเลย อะไรที่มันใส่ได้ก็ใส่ ส่วนแป้งผมไม่เคยทาเลย ตั้งแต่จำความได้ และเรื่องของครีมทาผิว หรือพวกโฟมล้างหน้า ผมก็ไม่เคยใช้เลย ผมใช้โฟมล้างหน้าครั้งแรกตอนอายุ 16 ปี จากที่ไม่เคยใส่ใจรูปลักษณ์ของตัวเองเลย ผมก็เริ่มที่จะใส่ใจรูปลักษณ์ของตัวเองมากขึ้น บางครั้งก็พยายามเก๊ก พยายามให้ดูเท่ห์ๆ ในสายตาของพี่เขา ซึ่งเป็นอะไรที่ผมไม่เคยทำ และไม่ชอบเอามากๆ แต่สุดท้ายผมก็ทำจนได้ เพียงเพราะแค่อยากจะดูดีในสายตาของพี่เขา

อาการที่ 12 พยายามสร้างความประทับใจ

ประสบการณ์จริง ผมเคยพยายามดุ และด่าเพื่อน แกล้งทำเป็นผู้รู้ ในตอนที่พี่เขาเดินผ่านโต๊ะที่เรียนอยู่ เพื่อโชว์ความรู้ และความสามารถ บางครั้งผมก็พยายามพูดเสียงดังๆ ให้พี่เขาได้ยิน เพื่ออวดอ้างความรู้ ซึ่งพอมาตอนนี้ คิดได้แล้ว รู้สึกว่าตัวเองทำไปได้ยังไง

และทั้งหมดนี้ ก็คือ อาการของคนที่กำลังแอบชอบใครสักคนอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนทุกคนเวลาที่แอบชอบใครสักคน ก็จะมีอาการแบบนี้ เหมือนกันหมด บางคนก็อาจจะมีอาการที่ต่างออกไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับส่วนตัวของบุคคลนั้นๆ เองด้วย

เมื่อเราอยู่ในอาการเหล่านี้นานๆเข้า เราจะเริ่มคิดไปเองว่า ความรู้สึกพวกนี้ คือ ความรู้สึกรัก และพอเราคิดว่า มันคือ ความรัก เราก็อยากที่บอกให้อีกฝ่ายรับรู้โดยเร็วที่สุด และในจำนวนของคนที่อยากจะสารภาพความรู้สึกออกไป มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ จะคิดเข้าข้างตัวเองว่า อีกฝ่ายก็ชอบกลับเหมือนกัน และผลสุดท้ายของการคิดไปเองเพียงฝ่ายเดียว ก็คือ ต้องเจ็บปวดเพียงฝ่ายเดียว

บทสรุป คือ ชอบ ไม่ได้แปลว่า รัก ความชอบเป็นเพียงแค่ ความรู้สึกพื้นฐานที่เกิดขึ้น โดยธรรมชาติ ความชอบเป็นเพียงแค่ความรู้สึกพึงพอใจ ที่เราคาดหวังไปเอง โดยอัตโนมัติว่า คนที่เราชอบ หรือพึงพอใจ ก็น่าจะชอบ และพึงพอใจในตัวเรากลับเช่นกัน สิ่งที่เราทุกคนมักผิดพลาดกันมากที่สุด คือ การชอบคิดไปเองเพียงฝ่ายเดียวว่า สิ่งที่เราต้องการ คนที่เราชอบก็ต้องการเหมือนกับเราเช่นกัน แม้ในความเป็นจริง มันจะถูกต้อง ที่เราทุกคนต่างมีความต้องการเหมือนกัน แต่ในความต้องการนั้น มันก็มีความต้องการที่แตกต่างกัน แม้ความรู้สึกจะสำคัญกว่าเหตุผล แต่ก็อย่าลืมว่า เหตุผล คือ สิ่งที่ช่วยค้ำจุนความรู้สึก หากเหตุผลมีความหนักแน่นมากพอ ความรู้สึกก็ย่อมมั่นคงไม่สั่นคลอน

บทความโดย : Worawut Roengmi

ขอขอบคุณรูปภาพประกอบทั้งหมดจาก unsplash 

ชอบบทความนี้หรือไม่? รับทราบข้อมูลโดย เข้าร่วมรับจดหมายข่าว!

ความเห็น

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับผู้เขียน

บทความล่าสุด
เม.ย. 28, 2023, 2:40 หลังเที่ยง Sugarmommy
เม.ย. 28, 2023, 2:37 หลังเที่ยง เบญจพิธพร
เม.ย. 27, 2023, 12:49 หลังเที่ยง ศลิล ตันวิสุทธิ์