ลำนำแห่งความสำเร็จจากเอเชีย (Son Heung-min)

ลำนำแห่งความสำเร็จจากเอเชีย (Son Heung-min)

 

เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม สำนวนนี้ยังคงใช้ได้ดีในทุกยุคทุกสมัย เพราะถ้าว่าด้วยเรื่องของการที่เราจะไปอาศัย หรือการเดินทางไปในต่างถิ่นต่างแดน หรือต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย สิ่งที่เราควรทำเป็นอันดับแรกคือการรู้จักที่จะสังเกต และปรับตัว เพื่อความอยู่รอด และเพื่อให้เรารู้จักสังคมนั้นๆ เพื่อที่จะพัฒนาตัวเองให้สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง และนั่นคือสิ่งที่นักฟุตบอลหลายๆคนต้องประสบพบเจอ และหนึ่งในนั้นคือหนุ่มเกาหลีที่ชื่อว่า Son Heung-min คนนี้ที่เขาต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวตลอดนับตั้งแต่ที่เขาต้องจากบ้านเกิดมาอาศัยในแดนยุโรป เขาต้องเจอกับอุปสรรค และปัญหาในการปรับตัวมามากมาย แต่ด้วยจิตใจอันมุ่งมั่น และความมุมานะในกีฬาฟุตบอล ทำให้เขาสามารถปรับตัว และผ่านอุปสรรคทั้งหลายมาได้ จนตอนนี้เขากลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากเอเชียผู้โด่งดัง และมากฝีมือ จนไม่ว่าใครก็ต้องรู้จักกับชื่อของผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่มานามว่า “Son Heung-min”

ซอน/ซน ฮึง-มิน (Son Heung-min) เด็กหนุ่มผู้ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1992 ในเมืองชุนช็อน ประเทศเกาหลีใต้ โดยพ่อของเขาคือ โค้ชซอนวุงจึน/ซน อึง จอง ซึ่งเป็นอดีตนักบอลอาชีพในเกาหลีใต้มาก่อน และปัจจุบันบริหารอคาเดมี่ที่มีชื่อเสียงที่อยู่ในเมืองที่ค่อนข้างจะเล็กที่ชื่อว่า ชุนชอน ที่ห่างจากกรุงโซลออกไปประมาณ 60-80 กิโลเมตร และก่อนหน้านั้นพ่อของเขาเคยเป็นครูสอนฟุตบอลในโรงเรียนประถมมาก่อน แต่พ่อของเขาก็ไม่ได้โด่งดัง และไม่ได้ประสบความสำเร็จในอาชีพนักฟุตบอลมากนัก ซึ่งพ่อของซอนโทษว่าการที่ตัวเองไม่รุ่งเท่าที่ควรก็เพราะเขามุ่งเน้นที่ชัยชนะมากไป แต่ใส่ใจเรื่องพื้นฐานการเล่นฟุตบอลน้อยเกินไป ซึ่งพ่อของเขาได้บอกว่านักบอลเกาหลีใต้หลายคนก็มีปัญหาแบบนี้ โดยพ่อของตี๋ซอนได้เลิกเล่นไปเมื่อปี 1990 หลังจากอาการบาดเจ็บ ซึ่งท่านก็ไม่อยากให้ลูกชายทั้งสองซ้ำรอยของท่าน  โดยเขามีลูกชาย 2 คน คือ ซอนเฮืองมิน และ ซอนเฮืองยุน ซึ่งตั้งแต่ที่พวกเขาจำความได้ พ่อของเขาก็ได้เริ่มการฝึกซ้อมฟุตบอลให้กับลูกชายทั้ง 2 และได้เคี่ยวเข็ญให้ลูกชายของเขาเล่นฟุตบอลแบบจริงจังตั้งแต่เด็กๆ เพื่อหวังว่าลูกของเขาจะโตมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่มีฝีเท้าดี และเพื่อให้ลูกชายทั้งสองสามารถก้าวข้ามกำแพงของตนไปให้ได้

โดยพ่อของพวกเขามีวิธีคิดที่แตกต่างในการสอนฟุตบอลให้กับลูกทั้งสอง โดยพ่อของตี๋ซอนจะเน้นเรื่องทักษะพื้นฐานอย่างเข้มข้น โดยบอกว่า “การบ้าเอาชนะตั้งแต่ยังเด็กจะนำไปสู่การฝึกซ้อมที่มากเกินไปสำหรับเด็กที่อายุแค่นี้ และนั่นอาจจะทำลายอาชีพนักบอลของพวกเขา และนี่ก็เป็นสาเหตุที่นักบอลดังๆอย่าง ปาร์คจีซุง และ คีซึงยัง ทรมานจากอาการบาดเจ็บที่เข่า และทำให้พวกเขาเหล่านี้ไปไม่ถึงฝั่งฝัน” โดยซอนเคยพูดถึงการซ้อมไว้ว่า เขาต้องเดาะบอลให้ไม่ร่วงลงพื้นติดต่อกัน 3 ชั่วโมง จนเลือดไหลออกตา ไหนจะโดนด่าโดนลงไม้ลงมือสารพัดสารเพ แต่นั่นก็ทำให้เขาเก่งขึ้นจริงๆ จนสามารถทดสอบฝีเท้า และเป็นสมาชิกของทีมเยาวชน เอฟซี โซล สโมสรที่ดีเป็นอันดับต้นๆของประเทศตั้งแต่อายุ 12 ปี ”  ซึ่งตี๋ซอนยังกล่าวต่อไปอีกว่า แต่บางทีผมก็คงต้องขอบคุณแนวคิดการฝึกซ้อมของคุณพ่อ เพราะในที่สุด ด้วยโปรแกรมการฝึกซ้อมอันเข้มข้น และหนักหน่วง ทำให้ซอนมีทักษะฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม และเป็นนักเตะเพียงไม่กี่คนที่สามารถเล่นบอลได้สองเท้าอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งจาการอ้างอิงรายงานการศึกษาของ LSE เมื่อปี 2009 ที่หนังสือพิมพ์ เทเลกราฟเอามาลงไว้ว่า “มีนักเตะในลีกใหญ่ยุโรปทั้งห้าลีกเพียง 18% เท่านั้นที่สามารถเล่นบอลได้ทั้งสองเท้าอย่างเป็นธรรมชาติโดยเขายังกล่าวถึงพ่อของเขาอีกว่า “พ่อสร้างทัศนคติที่ดีให้ผมและช่วยผมหลายอย่าง ตอนนี้พ่อยังใช้ชีวิตอยู่กับผมและเข้ามาชมเกมเหย้าทุกเกม”

               และนับแต่นั้นมาตี๋ซอนก็ได้อยู่กับทีมเยาวชนของเอฟซี โซล เขายังคงฝึกซ้อมอย่างไม่หยุดหย่อน และพัฒนาตัวเองเรื่อยมา จนเมื่อเขาอายุได้ 16 ปี โอกาสครั้งใหญ่ของเขาก็มาถึง เมื่อทางสมาคมฟุตบอลร่วมมือกับทีมจากเยอรมันอย่าง “Hamburger SV” จัดแคมเปญให้สมาคมฟุตบอลเกาหลีใต้นำเด็กๆที่มีแวว 3 คนไปฝึกฝีเท้ากับ ฮัมบูร์ก ทีมดังจากบุนเดสลีกา เยอรมัน ณ ขณะนั้น และพ่อของเขาก็ได้ตัดสินใจไปเยอรมันพร้อมกับลูกชาย แม้จะต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่ด้วยเหตุผลว่าได้โอกาสทั้งที ต้องใส่กันให้สุดตัวไปเลย ซึ่งนี่คือการทุ่มหมดหน้าตักของพ่อของเขา เขามั่นใจในตัวลูกชายมาก และเขาก็ได้เดินทางไปที่เยอรมัน ซึ่งปลายทางข้างหน้านั้น พวกเขาต้องกับเด็กๆจากยุโรปที่มากฝีมือ ซึ่งปกติแล้วมันคงเป็นไปได้ยากที่เด็กๆจากเอเชียจะไปวัดฝีเท้ากับเด็กจากยุโรป และยากที่จะเบียดเอาชนะได้ แต่นี่ไม่ใช่กับเด็กชายวัย 16 ที่ชื่อซอน เฮือง มิน เพราะด้วยการฝึกซ้อมอย่างหนักของเขาที่มีพ่อของเขาติวเข้มในทุกๆวัน ทำให้เขาพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่รอเขาอยู่ ซึ่งในขณะที่เขาได้ไปฝึกซ้อมกับฮัมบูร์กนั้น เวลาปกติเขาก็ซ้อมตามตารางการฝึกซ้อม แต่หลังจากซ้อมเสร็จพ่อของเขาก็จะฝึกซ้อมเขาต่อตามที่ซอนเคยฝึกซ้อมมา และมีการลงไม้ลงมือกันบ้างถือเป็นเรื่องปกติ และแล้วสิ่งที่เขาอดทนฝึกซ้อมอย่างหนักมาทั้งหมดนั้นก็ไม่สูญเปล่า เขาเป็นเด็กเพียงคนเดียวจาก 3 คนที่ผ่านการทดสอบนี้ โดยซอนกล่าวว่า "ตอนที่ได้สัญญาผมเองก็สงสัยอยู่ว่าผมจะอยู่ที่เยอรมันได้ยังไงเมื่อตัวเองอายุแค่ 16 ปี ผมยอมรับว่ากลัวนิดหน่อย แต่มาถึงตรงนี้ก็ต้องลุยอย่างเดียวเท่านั้น" จากนั้นพ่อของเขาก็บินกลับและปล่อยให้ลูกชายในวัย 16 ปี เผชิญโลกเพียงลำพัง เขาได้แต่หวังว่า สิ่งที่เขาสอนลูกชายมาไว้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฟุตบอลหรือการใช้ชีวิต จะช่วยให้ลูกชายของเขาประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด 

และก็มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตที่เขาต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะปรับตัวในต่างแดน ในเรื่องของฟุตบอลนั้นคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีกแล้ว และสำคัญกว่านั้นคือการใช้ชีวิต รวมไปถึงเรื่องของ ภาษา ที่เขาต้องเริ่มที่จะเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างราบรื่น เขาได้ลงเรียนคอร์สภาษาเยอรมันที่ทางสโมสรจัดการเรียนการสอนให้ และตี๋ซอนก็เรียนแบบตั้งใจ ไม่เคยขาดเรียนเลยแม้แต่คาบเดียว ซึ่งเขากล่าวถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า 

"โจทย์แรกที่ผมอยากแปลให้ได้คือ 'คำสบถ' มีคนบอกผมก่อนมาที่นี่ว่า ถ้าหากจะมาเล่นในต่างแดน ให้เข้าใจคำสบถให้ได้ก่อน เพราะว่าคุณไม่สามารถให้คนอื่นด่าคุณหน้าตาเฉยโดยที่คุณยิ้มแย้มให้กับเขาอย่างสุภาพ เพียงเพราะคุณไม่รู้ว่าพวกเขาพูดว่าอะไร ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องมาก ๆ" 

"สโมสรจัดครูมาสอนภาษาให้ผม และตลอด 1 ปีแรกผมตั้งใจเรียนภาษาอย่างที่สุด ถามว่ายากไหม ? ตอบได้เลยว่าโคตรยาก เพราะรากภาษาเยอรมันกับเกาหลีใต้มันคนละเรื่องกันเลย ผมว่าถ้าให้ผมเริ่มเรียนตอนนี้ ผมคงทนเรียนได้ไม่จบคอร์สแน่ ๆ แต่ตอนอายุ 16 ปี ผมไม่รู้ว่าผมทำมันได้ยังไง แต่ผมเรียนรู้เร็วมาก พอยิ่งขยันมันก็กลายเป็นเรื่องง่ายไปเลย"และนอกจากการเรียน ซอนยังพยายามใช้ชีวิตประจำวันด้วยการฝึกใช้ภาษาเยอรมัน อยู่เสมอ เช่น การไปซื้อของ การสื่อสาร หรือแม้การรายการโทรทัศน์เขาก็ดูเป็นภาษาเยอรมัน

เมื่อเขาเริ่มปรับตัวเรื่องภาษา และการใช้ชีวิตได้แล้ว สิ่งต่อไปที่เขาควรกลับมาโฟกัสคือเรื่องการพัฒนาตัวเองเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมให้ได้ เขาจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับโค้ชและเพื่อนร่วมทีม โดยต้องวางตัวให้อ่อนน้อม แต่แข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน ซึ่งพ่อของเขาได้สอนมาตั้งเด็กแล้วว่า "จงเข้าหาคนอื่นด้วยทัศนคติที่ดี" และคำสอนนี้ได้ถูกฝังลึกลงไปในตัวของตี๋ซอนจนถึงปัจจุบัน  และแม้ว่าเขาจะดูเป็นลูกแหง่ติดพ่อในตอนแรก แต่เมื่อต้องบินเดี่ยว เขากลับสามารถปรับตัวกับชีวิตในรูปแบบใหม่ที่ตัวเองไม่เคยประสบมาก่อน ซึ่งตอนอยู่ที่ เกาหลีใต้ ตี๋ซอนไม่เคยมีเพื่อนเลย เพราะพ่อของเขาไม่เคยปล่อยให้เขาเล่นสนุกกับเด็กคนอื่นๆแต่เมื่อเขามาอยู่ที่เยอรมัน และอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของทีม เขาได้ปรับตัวและเริ่มเข้าหาทุกคน เขายังเคยบอกอีกว่าเขามีความสุขมากๆกับชีวิตที่ฮัมบูร์ก เพราะเขาได้ทำกิจกรรมต่างๆกับเพื่อนร่วมทีม แบบที่เขาไม่เคยทำมาเลยตลอดชีวิต ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่เรื่องบนสนามเขาก็ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาตัวเองเลยแม้แต่น้อย เขายังคงฝึกซ้อมอย่างหนัก และด้วยความที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ตี๋ซอนเป็นคนที่มีวินัยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเรื่องอะไรเขาก็ทำมันอย่างสุดความสามารถ และมักจะออกมาดีเสมอ โดยฝีเท้าของเขาก็พัฒนาขึ้นในทุกๆวัน เช่นเดียวกับการปรับตัวในชีวิตประจำวันของเขา ซึ่งสื่อหลายเจ้ายอมรับว่า ตี๋ซอน เป็นชาวเอเชียที่พูดภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วมากๆ และเขาก็เป็นคนที่เพื่อนร่วมทีมรักมากอีกด้วย เพราะเขาไม่ชอบสร้างปัญหากับใคร และยังไม่เคยทำผิดวินัยเลยสักครั้ง  และที่ฮัมบูร์ก เขายังได้มีโอกาสร่วมลงสนามกับ รุด ฟาน นิสเตลรอย ตำนานดาวยิงของเนเธอร์แลนด์ ที่ย้ายมาร่วมทีมในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ซอนขึ้นชุดใหญ่ เขาคอยแนะนำตี๋ซอนในหลายๆด้าน จนมีส่วนสำคัญในการทำให้ซอน เฮือง มิน มีความกล้าในการเล่นฟุตบอลมากขึ้น และทำให้เขากล้าที่จะเลี้ยงบอลเผชิญหน้ากับคู่แข่งเก่งๆโดยไม่หวั่นเกรงเลยแม่แต่นิดเดียว

หลังจากทำผลงานยอดเยี่ยมให้กับฮัมบูร์กมาหลายปี เขาลงเล่นในลีกไปทั้งหมด 73 นัด ยิงไป 20 ประตู และในปี 2013 เขาก็ได้ย้ายเข้าสู่ทีม “ Bayer 04 Leverkusen” ด้วยค่าตัว 10 ล้านยูโร ซึ่งสถิติใหม่ของสโมสรในขณะนั้น และได้ลงเล่นให้แก่สโมสรในรายการยูฟ่ายูโรปาลีก และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และทำผลงานได้ยอดเยี่ยม จนในสองปีถัดมาชีวิตของเขาก็ได้มาถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่อีกครั้งเมื่อมีแมวมองจากสโมสรดังอย่าง “Tottenham Hotspur F.C.” ได้มองเห็นถึงพรสวรรค์ และทักษะอันยอดเยี่ยมของเขา จนได้ทำสัญญาตกลงซื้อขายกันในที่สุด และเขาได้เซ็นสัญญากับสโมสรจากลีกสูงสุดของเกาะอังกฤษอย่างท็อตนัมฮอตสเปอร์ ด้วยค่าตัว 22 ล้านปอนด์ จนทำให้เขากลายเป็นนักเตะเอเชียที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ และตี๋ซอนก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และได้เริ่มทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมให้กับสโมสร และเป็นกำลังสำคัญของทีม อีกทั้งยังเป็นคู่หูคนสำคัญของหนึ่งในสุดยอดศูนย์หน้าชาวอังกฤษอย่าง “Harry Kane”ที่เมื่อเขาทั้งคู่ลงสนามเมื่อไหร่มักจะช่วยกันทำประตูให้กับทีมได้อย่างล้นหลาม และสามารถเล่นเข้าขากันได้เป็นอย่างดี  

               ปัจจุบันนี้ซอน เฮือง มินยังคงค้าแข้งอยู่ในพรีเมียร์ลีก และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเรื่อยมา และในนามทีมชาติ เขาก็เป็นคนสำคัญที่คอยขับเคลื่อนทีม และเขายังเป็นคนที่พาเกาหลีใต้คว้าแชมป์ เอเชียนเกมส์ในปี 2018 อีกด้วย ซึ่งรางวัลการันตีความสำเร็จของเขานั้นก็มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของ ท็อตนัม ฮอตสเปอร์ ประจำฤดูกาล 2018-19,  นักเตะยอดเยี่ยมเกาหลีใต้ 4 สมัย, นักเตะยอดเยี่ยมเอเชีย 5 สมัย และยังมีรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของAFCอีก 3 สมัย นับว่าเขาเป็นนักเตะจากเอเชียที่ได้ประสบความสำเร็จกับอาชีพการเป็นนักฟุตบอลมากที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ ซึ่งถ้าหากพูดถึงเขาตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักชายที่ชื่อซอน เฮือง มินคนนี้ ผู้ที่อดทนฝึกซ้อมอย่างหนักเรื่อยมา และสามารถปรับตัวเพื่อให้อยู่ร่วมกับคนอื่นๆได้เป็นอย่างดี สามารถก้าวข้ามพรมแดนของเชื้อชาติ และภาษา จนพาตัวเองมาถึงจุดสูงสุด ส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้กับคุณพ่อของซอนที่ฟูมฝักเขาเพื่อให้เป็นนักฟุตบอลที่มีวินัยมาตั้งแต่เขายังเด็ก รวมถึงความอดทนพยายามฝึกซ้อมอย่างไม่ลดละของตี๋ซอนที่ทำให้เขาผ่านอุปสรรคต่างๆมาได้ และนั่นจึงทำให้เขากลายเป็นสุดยอดนักเตะจากเอเชีย กลายเป็นนักเตะดีกรีระดับโลกอย่างในปัจจุบันนี้ และทั้งหมดที่กล่าวมานั่นก็คือ สิ่งที่ทำให้ชายที่ชื่อว่า    “Son Heung-min” ประสบความสำเร็จได้อย่างที่เราได้เห็นกันในปัจจุบัน

นับเป็นตัวอย่างของความพยายาม และการเข้าสังคมที่ดีเลยก็ว่าได้ เพราะเขาเปรียบเสมือนสายน้ำที่ไหลไปตามกระแสน้ำ ปรับตัวตามที่ที่เขาอยู่ เหมือนกับน้ำที่เมื่อเราบรรจุใส่ภาชนะแบบใด มันก็จะปรับตัวตามภาชนะที่เราบรรจุ และซอน เฮือง มินยังทำหน้าที่และความฝันของตัวเองอย่างไม่ลดละความพยายาม อดทนกับการฝึกมามากมาย จะหนักจะเหนื่อยเขาก็ไม่เคยบ่น อีกทั้งยังมีวินัยเป็นอย่างมาก จนทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้ และสุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังท้อแท้กับชีวิต ให้ลองลุกขึ้นและพยายามดูอีกสักครั้ง สักวันความพยายามที่เราได้ทำมาจะต้องเห็นผล ถ้าเราไม่หยุดที่จะพยายาม สักวันจะต้องมีวันของเราครับ ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงตรงนี้     ขอให้ทุกคนโชคดี และมีความสุขครับผม

 

เขียนและเรียบเรียง : AOF_Falcon_1stStep

ชอบบทความนี้หรือไม่? รับทราบข้อมูลโดย เข้าร่วมรับจดหมายข่าว!

ความเห็น

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับผู้เขียน

นักเขียนบทความตัวน้อย แค่รักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่รัก

บทความล่าสุด
เม.ย. 28, 2023, 2:40 หลังเที่ยง Sugarmommy
เม.ย. 28, 2023, 2:37 หลังเที่ยง เบญจพิธพร
เม.ย. 27, 2023, 12:49 หลังเที่ยง ศลิล ตันวิสุทธิ์