ในปี ค.ศ. 1928 เรื่องสั้นสุดคลาสสิคอย่าง Beneath the Cherry Trees (桜の樹の下には) ของ Motojiro Kajii นักเขียนชาวญี่ปุ่น ได้มีประโยคที่ชวนอ่านว่า “ดอกซากุระเบ่งบานสวยงามนั้น เพราะดูดซับสารอาหารจากศพที่ถูกฝังไว้เบื้องล่าง” ซึ่งดอกซากุระนั้น ถือเป็นเอกลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ก็จะเบ่งบานออกมา อย่างสวยงาม
ความจิงนั้น สีสวย ๆ ของซากุระมาจาก แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสิ่งที่ พบได้ทั้งในดอกและในผลของพืช ซึ่งจะให้สีแดง น้ำเงิน และม่วง โดยเฉพาะในดอกซากุระ จะมีสารประกอบหลักที่เรียกว่า ไซยานิดิน-3-กลูโคไซด์ (Cyanidin-3-glucoside หรือสารประกอบของแอนโทไซยานินกับน้ำตาล) ซึ่งผลขององค์ประกอบนี้คือ จะทำให้ดอกไม้ผลิดอกเป็นสีขาว และสีชมพูตามแต่ละสายพันธุ์ ส่วนเรื่องฝังศพไว้ที่ใต้ต้นซากุระ เลือดของคนเราเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ จะมีค่า pH เป็นด่างอ่อน ๆ และเมื่อเสียชีวิตลง เซลล์จะมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและให้ค่าความเป็นกรด และเมื่อร่างกายเริ่มจะเน่าเปื่อย ก็จะเกิดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (Hydrogen Sulfield/Hydrogen sulfide) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ก๊าซไข่เน่า ซึ่งมีสภาพเป็นกรดอ่อน ๆ เมื่อร่างของคนเราถูกฝังลงใต้ต้นซากุระ ก็จะมีความเป็นไปได้ ว่าดินบางส่วน อาจจะกลายเป็นกรด แต่โดยปกติแล้วพันธุกรรมของดอกซากุระ ตัวมันเองจะพยายามรักษาสีของดอกเอาไว้ ดังนั้นแค่ดินเป็นกรด จึงไม่ได้ส่งผลต่อสีที่สวยงามของดอกซากุระ ซึ่งสิ่งที่มีผลกับสีของดอกซากุระโดยตรง คือ อุณหภูมิ นั่นเพราะว่า ยิ่งอุณหภูมิลดลง แอนโทไซยานินจะสลายตัวได้ยากขึ้น ส่งผลให้ดอกซากุระบานช้า แต่สีชมพูของดอกจะเข้มขึ้น แต่สิ่งที่เป็นเรื่องจริงคือ การที่เราฝังศพมนุษย์ไว้ใต้ต้นซากุระ ถึงจะไม่ได้ทำให้สีเปลี่ยน แต่มันทำให้ดอกซากุรัเบ่งบานเปล่งประกาย เนื่องจากร่างกายของมนุษย์ มีส่วนประกอบของกรดฟอสฟอริก ไนโตรเจน และโพแทสเซียม
เพิ่งรู้นะคะว่าเค้าฝังศพใต้ต้นซากุระ
คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น