รีวิวการไปกราบขอพรท้าวมหาพรหมเอราวัณ

วันนี้ผู้เขียนมีโอกาสไปสักการะขอพรท่านท้าวมหาพรหมเอราวัณมาค่ะ วันนี้คนไม่ค่อยพลุกพล่านอย่างที่เคยคงเป็นเพราะเป็นยุคนิวนอมอลต้องเว้นระยะห่าง เมื่อเดินเข้าไปบริเวณวิหารท่านท้าวมหาพรหมสิ่งแรกที่ผู้เขียนสะดุดตาคือละครรำแก้บนซึ่งมีผู้มาเช่าละครรำกันอย่างต่อเนื่อง ผู้เขียนเดินไปทางร้านขายดอกไม้มีพวงมาลัยดอกดาวเรืองชุดเล็กราคา 50 บาทถึงราคาแพงสุด 500 บาทซึ่งจะมีพวงมาลัยพวงใหญ่มีตุ๊กตาช้างม้าและธุปเทียนครบชุด ผู้เขียนซื้อพวงมาลัยชุดเล็กหนึ่งพวงซึ่งมีธูปเทียนมาให้ด้วยเสร็จสรรพ ผู้เขียนสังเกตว่าจะไม่มีการจุดธูปและเทียนแต่จะวางไว้บนแท่นบูชากองรวมกันไว้ทั้งธูปและเทียนค่ะ ผู้เขียนขอพรในเรื่องหน้าที่การงานขอให้ได้งานอาสาสมัครห้องสมุดที่ผู้เขียนไปสอบสัมภาษณ์ไว้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา รวมทั้งขอพรเรื่องสุขภาพให้แข็งแรงและไม่ป่วยไข้ด้วยค่ะ ก่อนจะกลับออกมาผู้เขียนได้ทำบุญหย่อนตู้บริจาคไปด้วย อากาศวันนี้ค่อนข้างอบอ้าว แดดไม่ค่อยมี คงเป็นเพราะฝนใกล้จะตก เมื่อขึ้นมาบนรถโดยสารประจำทางเพื่อเดินทางกลับบ้าน ผู้เขียนคิดถึงคำพูดที่ติดปากคนไทยทั่วไปที่เชื่อว่าทุกอย่างเป็นเพราะพรหมลิขิต 

ผู้เขียนเคยเดินทางไปขอพรจากท้าวมหาพรหมเอราวัณที่ราชประสงค์เมื่อคราวที่สอบไล่ปีสุดท้ายก่อนจบมหาวิทยาลัยรามคำแหงขอให้ได้เกียรตินิยม และก็ได้รับพระพรจริงๆเพราะเมื่อผลสอบออกมาครบทุกวิชาผู้เขียนได้เกรดเฉลี่ยเพียงพอที่จะได้รับคุณวุฒิเศรษฐศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับสอง เมื่อเล่าถึงตรงนี้ก็ต้องขอเล่าต่อว่าก่อนหน้านี้ผู้เขียนตั้งใจเรียนเป็นอย่างดีด้วยนะคะ หาไม่ท่านคงไม่ประทานพรมาให้แบบนี้ค่ะ

พระพรหมท่านทรงมี 4 พระพักตร์ 8 พระกร ทรงจักร หอยสังข์ คัมภีร์ คณโฑ คฑา บ่วง ดอกบัว และลูกประคำ การขอพรจะเดินเวียนทางขวาและขอพรทุกพระพักตร์ พระพักตร์แรกหมายถึงพระเมตตา จะประทานพรด้านการเรียน การงาน พระพักตร์ที่สองหมายถึงพระกรุณา จะประทานพรด้านทรัพย์สิน ที่ดิน บ้าน พระพักตร์ที่สามหมายถึงพระมุฑิตา จะประทานพรด้านสุขภาพ ครอบครัว คู่ครอง พระพักตร์ที่สี่หมายถึงพระอุเบกขา จะประทานพรด้านโชคลาภ การขอบุตร 

คนไทยเชื่อถือกันมาแต่โบราณว่าทุกชีิวิตที่ถือกำเนิดเกิดมาไม่ว่าจะสูงต่ำดำขาว มีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร สุขหรือทุกข์เพียงใดล้วนแล้วแต่พระพรหมท่านเป็นผู้ลิขิตมาตั้งแต่แรกเกิด จึงเรียกว่า พรหมลิขิต และไม่มีใครเลยที่จะสามารถฝืนชะตาที่กำหนดมาหรือพรหมลิขิตนี้ได้ แต่ตามหลักพระพุทธศาสนาแล้วพระพุทธองค์ทรงสอนว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมที่แต่ละชีวิตได้กระทำลงไปเป็นสิ่งที่ติดตัวและเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของแต่ละชีวิต ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ก็ตาม

ดังนั้น เราควรจะสร้างแต่กรรมดี เพราะกรรมดีจะส่งผลให้แก่ตัวเราไม่ว่าในชาตินี้หรือติดตามไปในชาติหน้า เราควรตั้งมั่นในคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียรสร้างแต่กรรมดี เพื่อให้ผลกรรมดีหรือกุศลกรรมส่งผลให้เราเจริญ ถึงพร้อมด้วยความสุข โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปบนบานขอพรจากพระพรหมเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด แต่เราก็ยังไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าเรายังคงยึดเอาพระพรหมเจ้ามาไว้เป็นหลักยึดเหนี่ยวและเป็นที่พึ่งทางใจยามมีทุกข์เดือดร้อน ความเชื่อเรื่องพรหมลิขิตยังคงฝังรากลึกอยู่ในความเชื่อของคนไทย และเราก็ยังคงบนบานกราบไหว้ขอพรจากพระพรหมเจ้าอย่างสืบเนื่องต่อกันมาด้วยความศรัทธาอย่างไม่เสื่อมคลาย 

ชอบบทความนี้หรือไม่? รับทราบข้อมูลโดย เข้าร่วมรับจดหมายข่าว!

ความเห็น

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับผู้เขียน

ครูปุ้ยเป็นนักเขียนอิสระชอบงานเขียนที่เรียบง่ายและให้ความรู้สึกผ่อนคลายค่ะ

บทความล่าสุด
เม.ย. 28, 2023, 2:40 หลังเที่ยง Sugarmommy
เม.ย. 28, 2023, 2:37 หลังเที่ยง เบญจพิธพร
เม.ย. 27, 2023, 12:49 หลังเที่ยง ศลิล ตันวิสุทธิ์