ประสบการณ์การบวชชีพราหมณ์ที่เสถียรธรรมสถาน

วันหนึ่งในฤดูฝนปลายเดือนตุลาคมของปี 2555 ฉันได้รับโทรศัพท์จากพี่สาวที่โทรมาชวนไปปฏิบัติธรรม จริง ๆ ฉันไม่อยากไปเลย เพราะไม่ใช่ชาวพุทธที่เคร่ง แต่พี่สาวอยากให้ไปเป็นเพื่อนกัน แม่ก็คะยั้นคะยอให้ไป เพราะแม่อยากให้เราได้ประสบการณ์มาเล่า ไหน ๆ ก็มีโอกาสแล้ว เราก็เลยซื้อเสื้อขาว กางเกงขาว จำนวน 5 ชุด เตรียมพร้อมมากสำหรับการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ ส่วนใหญ่ของที่เตรียมก็เหมือนของเข้าค่าย กระเป๋าเสื้อผ้า เครื่องอาบน้ำ ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าอนามัย ยาสามัญประจำบ้าน ช้อนส้อม และกล่องข้าว ฯลฯ สิ่งที่ยากกว่าที่ทำให้คืนก่อนวันไปนอนไม่หลับก็คือจิตใจ เตรียมใจยากกว่าเตรียมสิ่งของ

 

เราลากิจไป 1 วัน เพราะเรายังเรียนอยู่ปี 4 ต้องขาดเรียนวันพฤหัสบดี  มีวันหยุดคือศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และจันทร์ แต่โปรแกรมการฝึกหรือปฏิบัติธรรมของเสถียรฯ มี 4 คืน 5 วัน ทำให้เราต้องขาดเรียน เพื่อฝึกให้ครบคอร์ส คุณครูเจ้าของวิชาก็อนุโมทนาบุญกับเราด้วยในการฝึกฝนตัวเองของเราในครั้งนี้  คณะปฏิบัติธรรมของเรามีพี่สาว คุณป้าที่สนิทของพี่สาว พี่รุ่นน้องของพี่สาว และแฟนของพี่คนนั้นซึ่งอายุน้อยกว่าเรา เราเป็นคนจิตใจไม่นิ่ง ไม่รู้จะฝึกรอดหรือเปล่า

วันแรกทางวัดก็ชี้แจงกฎว่าทุกคนจะต้องถืออุโบสถศีล คือศีล 8 สำหรับเราศีล 5 เรายึดถือปฏิบัติอยู่แล้ว แต่ศีลที่เพิ่มมาอีก 3 ข้อ ต้องควบคุมนิสัยของเราอย่างมากเลย เราก็เพิ่งรู้ตอนมาฝึกนี่แหละเหมือนไปรายการ Too Hot to Handle แต่อันนี้ไม่ใช่เรื่องเซ็กส์ อ้อ ข้อ 3 นั่นก็ต้องควบคุมด้วย มันจะยากสำหรับบางคน แต่ไม่ใช่พวกเรา 

"ห้ามประทินด้วยเครื่องหอม ห้ามดูการละเล่น สิ่งบันเทิงต่างๆ" อันนี้ยากสำหรับผู้หญิงที่แต่งหน้าแบบพี่เรา พี่เราเป็นคนสวยหน้าเป๊ะตลอด การแต่งหน้าเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่ง แต่พี่เราก็ทำได้ แม่ชีก็พูดติดตลกว่าโชว์หน้าสดกันเลย มันคือธรรมชาติ พระพุทธเจ้าสอนว่าธรรมะคือธรรมชาติ คนไหนที่มีอายุหน่อยก็ให้พินิจพิจารณาสังขารของตัวเองว่าเราสวยตามวัย พิจารณาความร่วงโรย พี่สาวเราตอนนั้นอายุ 31 ปี ยังไม่แก่เลย แต่พี่เขาก็กังวลเรื่องรอยสิวมาก ๆ สำหรับเรา สิ่งที่ยาก เย้ายวนเกินห้ามใจที่สุดคือ การห้ามดูการละเล่น ช่วงนั้นเรากำลังตื่นเต้นกับการมีโทรศัพท์ที่ใช้อินเทอร์เน็ตได้ เรารู้สึกว่ายูทูบคือโลกของเรา หลายคนอาจจะงงว่าการดูการละเล่น ละคร ฟังเพลง แล้วมันจะเกิดกิเลสยังไง กิเลสไม่จำเป็นต้องเป็นความรู้สึกกำหนัด มันคือความอยากได้อยากมีอยากเป็น ซึ่งถ้าเราควบคุมมันได้ เราจะดูแล้วเฉย ๆ  มีใครดูดารา แล้วไม่มีแวบนึงที่คิดว่าฉันอยากสวยหล่อเหมือนดาราบ้าง มันจะมีความคิดแวบนึงแหละที่อิจฉาเขา อยากทำตา จมูกให้เหมือนเขา การดูข่าวก็ทำให้เราเกิดอารมณ์เศร้า โกรธ อารมณ์ร่วมพร้อมผสมโรง พร้อมปาหินใส่คนผิด ในเมื่อเราไม่ใช่พระอิฐพระปูน การปิดกั้นจากสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ใจเราได้พัก ได้พิจารณาดี ๆ ก่อนจะกลับไปสู่โลกปกติ แล้วเราจะวางเฉยได้  ผู้ชายบางคนติดดูบอลมาก ซึ่งการดูบอลเนี่ยนำไปสู่อบายมุข เช่น พนันบอล หรือถ้าดูเฉย ๆ เราก็จะมีความอินที่เป็นความยึดติดเสพติด เช่น ถ้าทีมที่เราเชียร์แพ้ เราก็จะเสียใจมากเหมือนเราแพ้เอง ถ้าทีมที่เราเชียร์ชนะ เราก็จะดีใจ มีความสุข เรารู้สึกดี แต่ความสุขก็คือความทุกข์อย่างหนึ่งในทางศาสนา ความสุขที่แท้จริงคือการปล่อยวาง ความว่างเปล่า

แต่ในเรื่องสบู่ เราใช้ได้นะ ถ้าเราเลือกสบู่นกแก้วที่ไม่ได้ใส่น้ำหอมประโคมเข้าไป มันก็คือช่วยทำความสะอาดเหงื่อไคลที่เหนื่อยมาทั้งวัน เวลาเราอาบน้ำสบู่หอม เราจะเพลินกับกลิ่น หลายคนเป็นไหม อาบน้ำแล้วร้องเพลง อันนี้ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ไม่ใช่แค่ฟังเพลง คัฟเวอร์เองก็ไม่ได้ การตัดกิเลสคือตัดรูปรสกลิ่นเสียงที่เราชอบ  มีตอนนึงที่เราปฏิบัติธรรมแล้วได้กลิ่นส้วม เราก็ต้องทำใจอยู่กับลมหายใจสมาธิอย่างเดียว อย่าไปคิดว่าเหม็น ให้พิจารณาว่าเป็นกลิ่นที่เราไม่ชอบ ไม่ชอบแล้วเราเป็นทุกข์แต่ต้องนั่งอยู่ตรงนี้ เราก็ต้องบอกตัวเองในใจว่าไม่เหม็น แล้วคิดแค่ว่าหายใจเข้าหายใจออกไปถึงไหนแล้ว

"ห้ามนอนที่นอนสูงเกิน 1 เซนติเมตร และห้ามนอนที่นอนนิ่มเกิน" เป็นการฝึกให้เราเป็นคนสมถะ เศรษฐีที่ฆ่าตัวตายเพราะล้มละลาย ก็เพราะเคยสบายแล้วต้องมาอยู่แบบอัตคัดก็อยู่ไม่ได้ หลายคนเป็นคุณหญิงคุณนายมาฝึก เขาก็ให้เราลองฝึกตั้งแต่ตอนที่เรายังไม่ลำบากนี่แหละ ทุกคนต้องเอาเสื่อมาปู นอนรวมกัน 20 คน ในห้อง แยกห้องชายหญิง เท้าชนกันเลย พี่เรานอนลำบากมาก เพราะเป็นคนตัวสูง ส่วนเราสูงไม่มาก เรานอนเหยียดขาได้สบาย ที่เสถียรฯ เขามีแอร์ให้ เพราะอากาศเมืองไทยมันร้อน ทดสอบแค่ความแข็งของที่นอนก็พอ เรานอนกับพื้นบ่อย นอนเสื่อไม่ลำบากเลย ตอนกลางวันแม่ชอบเอาเสื่อกับหนังสือเยลโล่เพจเจสมาให้หนุนนอน

"ห้ามกินหลังมื้อเพล กินอีกทีต้องรอพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าวันใหม่" อันนี้ทรมานใช้ได้เลย เพราะปกติเราชอบกินมาก กินจุกจิก กินครั้งละเยอะ ๆ พอมาอยู่เสถียรธรรมสถาน เรารู้สึกว่ากินไม่ค่อยอิ่ม ต้องกินน้ำเต้าหู้ช่วย ตอนกลางคืนก็จะได้ยินเสียงท้องตัวเองร้อง ต้องทนกับความหิวแสบท้อง ตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกที่แม่ชีอยากให้เรากำหนดทุกข์ได้แหละ ซึ่งการแก้ปัญหาไม่ใช่การกินยาลดกรดหรือกินยาแก้ปวด เราต้องรับรู้ว่าหิวเกิดจากอะไร เพราะไม่ได้กิน ทนได้ไหม พอทน แล้วมันจะหายปวดไปเอง เราต้องคิดว่าหิวแล้วมีความสุข คิดข้อดีของความหิว ความหิวทำให้เราไม่กินเยอะเกินความจำเป็นของร่างกาย ให้ร่างกายได้พักซ๋อมแซมบ้าง ไม่ต้องย่อยอาหาร เรารอให้ถึงมื่อเช้า ด้วยความที่ไปฝึกเดือนตุลาคม เราตื่นตั้งแต่ตีสี่ เพราะต้องไปฝึกโยคะ หรือไม่ก็วิปัสสนา เดินจงกรม เราหิวไส้แทบขาด รอให้พระอาทิตย์ขึ้นก็ไม่ขึ้นสักที อยากไปเร่งพระอาทิตย์มาก มันจะเข้าหน้าหนาวแล้ว บางทีหกโมงครึ่งยังไม่สว่างเลย

สิ่งที่ยากอีกอย่างก็คือ การที่ต้องสำรวม พูดช้า เดินช้า ยิ้ม ๆ แบบนางสาวไทยนี่แหละ เราเป็นคนเดินฉับ ๆ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นซ้ายย่าง ขวาย่าง รวมถึงการพูดจาที่เน้นการปิดวาจา พูดน้อยเพื่อจะได้คิดก่อนพูด จะได้ไม่พูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจคนอื่น เรารู้สึกอึดอัดมากที่ไม่ได้พูด เราก็เลยสังเกตว่าแม่ชีพูดอะไรบ้าง แล้วเลียนแบบ แม่ชีจะพูดแต่คำพูดดี ๆ เช่น ขอให้มีความสุขกับที่นี่นะคะ หลับสบายไหมคะ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ไหมคะ เราก็มีคุยกับคนที่มาปฏิบัติธรรมด้วยกัน เช่น พี่เป็นคนจังหวัดอะไร มาฝึกกี่วัน ที่แม่ชีย้ำกับเราก็คืออย่าไปถามว่าทำไมเขามาปฏิบัติธรรม เพราะส่วนมากเขามาเพราะความทุกข์ เราเดาได้เลย ถ้าเป็นคนหนุ่มสาว 80 เปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องความรัก วัยกลางคนมาเพราะเรื่องธุรกิจ การเงิน หรือโรคร้ายที่รักษาไม่หาย

การมาฝึกจิตช่วยให้เราบุคลิกดีขึ้น เพราะการนั่งสมาธิทำให้เรานั่งหลังตรง พอเราคิดดี เราก็พูดจามีเสน่ห์ขึ้น มีอิริยาบถที่น่าเคารพศรัทธาแบบแม่ชี บางคนอาจจะคิดว่าฝึกแค่ 4-5 วัน จะเปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ได้อย่างไร ก็ถ้ามีสติตลอดเวลา เราก็จะไม่บันดาลโทสะแบบเด็ก 14 ฆ่าแม่ เราจะนับ 1 ถึง 10 ก่อน แล้วความโกรธจะจางลง กองไฟที่ทำให้คนขาดสติมี โกธะ โลภะ โมหะ สิ่งที่ตรงข้ามคือ อโกธะ อโลภะ อโมหะ  เด็กอายุ 14 ในข่าวมีความโกรธแม่ที่บังคับไม่ให้คบเพื่อนชาย มีโมหะหรือความหลง หลงในที่นี้คือหลงผิด คิดว่าฆ่าบุพการีเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ หลงรักผู้ชายจนหน้ามืดตามัว โงหัวไม่ขึ้น ไม่สนเรื่องศีลธรรม ยอมเสียทุกอย่างเพื่อให้ได้คบกับผู้ชาย มีความโลภ ในที่นี้ความโลภไม่จำเป็นต้องเป็นเงิน แต่เป็นความอยากได้ครอบครองในสิ่งของ บุคคล อยากได้ในสิ่งที่ไม่คู่ควรกับตัวเอง กองไฟทั้ง 3 กองในใจเรานี้แค่มีแค่กองเดียว ไม่ต้องครบเซ็ต ก็สามารถทำให้เราเปลี่ยนจากขาวเป็นดำ จากคนดีเป็นคนเลว

การฝึกจิตช่วยให้เราเรียนเก่งขึ้น เพราะมีสมาธิดีขึ้น มีความจดจ่อ คนที่ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงานลองยิ้มหวาน ๆ ให้เพื่อนสักแมตช์ จะได้กลับมาเป็นเพื่อนกัน คนที่เกลียดเราคงงงถ้าเราไปกอดให้อภัยเขาหรือให้ความรักของเขา ทานที่ดีที่สุดคืออภัยทาน ดีต่อใจคนให้อภัยและคนได้รับการอภัย โลกของเราก็จะสงบสุข รองลงมาก็คือธรรมทาน การให้ความรู้เรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้า อย่างที่เราเขียนบทความแชร์ให้ทุกคนได้อ่าน เพราะมันจะเป็นอานิสงส์ช่วยคนให้พ้นทุกข์ไปด้วยกัน อันดับสามก็คือวิทยาทาน ความรู้ช่วยให้คนมีวิธีในการทำมาหากินในการดำรงชีวิต มีประโยชน์กว่าให้ทรัพย์สิน ดังคำกล่าวที่ว่ายื่นเบ็ดดีกว่าตกปลาให้

เสถียรธรรมสถานมีโปรแกรมการฝึกหลากหลาย มีธรรมชาติบำบัด แต่จัดแค่เดือนละครั้ง ต้องมาให้ตรงกับช่วงที่เขาจัดอบรม ส่วนอานาปานสติฝึกได้ตลอด ค่าใช้จ่ายในการฝึกคือบริจาคตามศรัทธา แล้วแต่ว่าคุณมีเวลามากแค่ไหน บางคนเวลาน้อยก็ฝึกแค่ 4-5 วัน บางคนฝึก 2 อาทิตย์ หรือ 1 เดือน บางคนอยู่เป็น 3 เดือน บรรยากาศสถานที่คือดีมาก มีต้นไม้ร่มรื่น มีน้ำตกจำลอง ไม่มีที่จอดรถ ควรนั่งแท็กซี่มาจะสะดวกสุด ใครกำลังมีความทุกข์อยู่ ขอเชิญชวนนะคะ เราว่าธรรมะก็เหมือนไลฟ์โค้ช นักจิตวิทยาในปัจจุบันนั่นแหละค่ะ ในบางสถานการณ์คนเหล่านั้นไปช่วยคุณไม่ได้ คุณต้องตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนะคะ

ชอบบทความนี้หรือไม่? รับทราบข้อมูลโดย เข้าร่วมรับจดหมายข่าว!

ความเห็น

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับผู้เขียน
บทความล่าสุด
เม.ย. 28, 2023, 2:40 หลังเที่ยง Sugarmommy
เม.ย. 28, 2023, 2:37 หลังเที่ยง เบญจพิธพร
เม.ย. 27, 2023, 12:49 หลังเที่ยง ศลิล ตันวิสุทธิ์