บ้านของดิฉันอยู่ที่แสมดำเขตบางขุนเทียนจังหวัดกรุงเทพมหานครค่ะ ในบริเวณย่านนี้จะมีบรรยากาศเป็นแบบชานเมืองเพราะอยู่ติดกับจังหวัดสมุทรสาครดังนั้นผู้คนจะไม่ค่อยพลุกพล่านแต่ถนนพระรามสองจะขึ้นชื่อเรื่องรถติดเพราะมีการสร้างและซ่อมแซมถนนกันตลอดเวลาเรียกได้ว่าเป็นชาติหนึ่งแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะแล้วเสร็จ
เรื่องที่ดิฉันจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องความผูกพันของคุณพ่อของดิฉันซึ่งปัจจุบันท่านถึงแก่กรรมไปเมื่อปีที่แล้วด้วยโรคมะเร็งตับอ่อนกับเจ้าเจ๋งแมวจรตัวผู้ที่น้องสาวดิฉันรับมาจากคนงานพม่าที่มาสร้างถนนพระรามสองหน้าปากซอยบ้านแล้วนำมาเลี้ยงดูไว้ที่บ้านค่ะ
คุณพ่อดิฉันท่านเป็นคนมีเมตตามากทุกเช้าท่านจะตื่นแต่เช้าเปิดประตูร้านขายของชำที่บ้านของดิฉันและเปิดทีวีจากนั้นท่านจะนั่งที่เก้าอี้หวายที่เอนตัวนอนได้เพื่อดูทีวี และตอนนั้นแหล่ะค่ะจะเป็นหน้าที่ของเจ้าเจ๋งที่จะต้องกระโดดขึ้นไปบนท้องของคุณพ่อและใช้เท้าเล็กนุ่มทั้งสี่ของมันนวดให้ท่าน เจ้าเจ๋งทำเองด้วยความรักคุณพ่อของดิฉันโดยไม่มีใครฝึกสอนให้มันทำเพราะคุณพ่อของดิฉันท่านรักมันชนิดเรียกว่าโอ๋ยิ่งกว่าลูกและตกเป็นทาสมันด้วยความรักจนหลง
ยามเย็นย่ำค่ำลงคุณพ่อของดิฉันท่านก็ชอบนั่งเอนหลังที่เก้าอี้หวายตัวนี้แล้วดูทีวีด้วยเช่นกันซึ่งเจ้าเจ๋งก็ปฏิบัติการนวดให้ท่านคลายเมื่อยล้าด้วยสี่เท้าอันเล็กนุ่มน่ารักของมันด้วยเช่นกัน
กาลเวลาผ่านไปจนกระทั่งเมื่อช่วงเดือนมีนาคมปีที่แล้วคุณพ่อของดิฉันเริ่มป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนและถึงแก่กรรมในอีกหกเดือนถัดมา และท่านผู้อ่านคะในเช้ามืดของวันแรกที่คุณพ่อเสียชีวิตเจ้าเจ๋งร้องหง่าวๆแล้วกระโดดขึ้นไปบนเก้าอี้หวายและก็ใช้เท้ามันกดนวดลงไปบนพื้นผิวของหวายที่บุเก้าอี้เหมือนมันกำลังนวดให้คุณพ่อเหมือนทุกๆวันที่มันเคยทำ
ไม่เพียงแต่เท่านั้นน้องสาวของดิฉันยังนอนหลับฝันตอนใกล้รุ่งของวันนั้นว่าคุณพ่อกลับมาที่บ้านแล้วเดินไปหาอาหารเม็ดมาเทใส่ชามพลาสติกของเจ้าเจ๋งเหมือนที่ท่านเคยทำค่ะ
ดิฉันไม่ทราบว่ามันเป็นเรื่องมโนหรือว่าอย่างไรค่ะขอท่านผู้อ่านลองใช้ดุลย์พินิจของท่านพิจารณาดูกันเองนะคะ และหลังจากวันที่คุณพ่อเสียเจ้าเจ๋งจะซึมและเหม่อลอยและมีอาการนั่งรอคอยคุณพ่อของดิฉันอยู่อย่างนั้นจนเวลาล่วงเลยไปหลายเดือนแล้วมันจึงเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าคุณพ่อของดิฉันท่านถึงแก่กรรมเพราะดิฉันเห็นมันกระโดดขึ้นไปนั่งบนตู้ที่ดิฉันตั้งรูปถ่ายของคุณพ่อบูชาเอาไว้และนั่งมองเหมือนนิ่งคิดอะไรนานๆอยู่หลายสิบรอบ
ปัจจุบันดิฉันยังคงเลี้ยงดูเจ้าเจ๋งและคอยดูแลมันแทนคุณพ่อของดิฉันอย่างดีที่สุดและก็หวังให้มันอยู่กับครอบครัวของดิฉันไปนานๆค่ะ
เรื่องราวของคุณพ่อของดิฉันซึ่งเป็นทาสแมวก็จบลงแต่เพียงเท่านี้และดิฉันเชื่อในความผูกพันของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงว่ามันจะนำพาความห่วงหาอาวรณ์มาให้ทั้งเจ้าของและสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก่ทุกคู่อย่างเช่นคุณพ่อและเจ้าเจ๋งน้อยตัวนี้นี่แหล่ะค่ะ
แล้วพบกันใหม่กับผลงานบทความเรื่องต่อไปของดิฉัน ขอบพระคุณทุกการติดตามและทุกกำลังใจที่ส่งมาให้ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น