พระนางศุภยาลัต ทรงเป็นลูกสาวคนที่สองของพระนางอเลนันดอและพระเจ้ามินดง ผู้ซึ่งปกครองพม่าในช่วงเวลานั้น พระนางศุภยาลัต ทรงมีพระเชษฐภคินี (พี่) ชื่อ พระนางศุภยาคยี และมีพระขนิษฐา (น้อง) ชื่อ เจ้าหญิงศุภยากเล อุปนิสัยที่เด่นชัดของพระนางศุภยาลัตคือ มีความทะเยอทะยาน เจ้ายศเจ้าอย่าง มีกลอุบายเยอะแยะไปหมด เช่นเดียวกับพระนางอเลนันดอ ผู้เป็นมารดา
พระเจ้ามินดง
ครั้นเมื่อพระเจ้ามินดงผู้เป็นพระบิดาของพระนางศุภยาลัต ทรงเสด็จสวรรคต การผลัดเปลี่ยนแผ่นดินจึงเริ่มขึ้น ใจจริงพระนางอเลนันดอเอง ก็ทรงปรารถนาที่จะครองพม่าเช่นกัน แต่ติดตรงที่ตามกฎมณเฑียรบาลของพม่านั้น ห้ามมิให้สตรีขึ้นครองราชย์ การจะหาหุ่นเชิดในการปกครองนี้ เหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดให้พระนางอเลนันดอ ซึ่งคนที่เข้าตาพระนางคือ พระเจ้าธีบอ เจ้าชายชั้นหางแถว ผู้มีนิสัยเชื่องช้า หัวอ่อน บงการง่าย ต่างกับพระเจ้าอีก 2 พระองค์ที่มีคุณสมบัติดี เรียนจบจากโรงเรียนฝรั่ง ฉลาดและเป็นคนหัวแข็ง โดยแผนการหาหุ่นเชิดนี้ก็รับการช่วยเหลือจากเหล่าชนชั้นสูงที่สนับสนุนพระองค์
(ซ้าย)พระนางศุภยาคยี (กลาง) พระนางศุภยาลัต (ขวา) พระเจ้าธีบอ
พระนางอเลนันดอใช้ความทะเยอะทะยานอันแรงกล้าบวกกับการกระหายความยิ่งใหญ่ ดันลูกสาวพระนางศุภยาคยี ขึ้นเป็นมเหสีเอก และพระนางศุภยาลัต ขึ้นเป็นมเหสีรองของพระเจ้าธีบอ หลังจากการจัดการดันพระเจ้าธีบอขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว พระนางอเลนันดอจึงดำเนินแผนการขั้นต่อไป คือ ถอนรากถอนโคนผู้ที่เป็นเสี้ยนหนามในราชบัลลังก์ทิ้ง พระนางไม่รอช้าที่จะจับบรรดาญาติพี่น้อง ลูกท่านหลานเธอ เหล่าขุนนาง เสนาอำมาตย์ กว่า 500 ชีวิต นำมาสังหารให้สิ้นแบบไม่ไว้ชีวิตผู้ใด ว่ากันว่าแผนการอันโหดร้ายนี้พระนางศุภยาลัตก็มีส่วนรู้เห็นในแผนการนี้เช่นกัน
การสังหารหมู่ในครั้งนี้ใช้เวลาด้วยกันถึง 3 วัน 3 คืน ฆ่ากันทุกคืน การสังหารหมู่ครั้งใหญ่ถูกเตรียมการไว้เป็นอย่างดี พระนางศุภยาลัตทรงรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงฉลองให้ใหญ่โตขึ้นบังหน้าการสังหาร โดยให้มีวงดนตรีเล่นกันอย่างกระหึม เพื่อกลบเสียงการฆ่าสังหารหมู่ในครั้งนี้ เหล่าชาวเมืองพม่าผู้ไม่รู้อีโหนอิเน่ก็ได้เที่ยวงานกันอย่างสนุกสนาน รวมไปถึงพระเจ้าธีบอเช่นกัน พระองค์ถูกจัดให้ดื่มน้ำจัณฑ์จนเมามายไม่รู้เรื่อง
ในฝั่งของศพที่ถูกสังหารนั้น ถูกนำไปโยนรวมกันในหลุมใหญ่ข้างวังแล้วเอาดิบกลบ แต่เมื่อเวลาผ่านไปศพเหล่านั้นก็เริ่มขึ้นอืดดันตัวขึ้นมาจากหลุม ส่งกลิ่นเหม็นเน่า ฟุ้งไปทั่วราชวัง แม้จะเอาช้างหลวงมาเหยียบกดทับศพ ก็ไม่เป็นผล จนในที่สุดต้องนำศพใส่เกวียนไปฝัง ไม่ก็ไปทิ้งที่แม่น้ำ นานวันบรรดาชาวบ้านก็เริ่มเห็นถึงความผิดปกติ จนกลายเป็นเรื่องเล่าขานก็อย่างหนาหู บ้างก็อ้างว่าสุนัขเห่าหอนทุกคืน บ้างก็เห็นและได้ยินเหล่าเสียงวิญญาณผู้คนที่ถูกสังหารหมู่ ร้องโหยหวนดังทุกคืน
พระนางศุภยาลัตทรงมีความอิจฉา ริษยาผู้อื่นอยู่ร่ำไป แม้กระทั่งเคยเป็นศึกกับพระนางอเลนันดอและพระนางศุภยาคยี เวลาผ่านเลยไปอำนาจของพระนางยิ่งใหญ่มากขึ้นในพม่า แม้แต่พระเจ้าธีบอเองก็ไม่กล้าจะขัดเมียคนนี้ ว่ากันว่าพระนางศุภยาลัตทรงยืดมั่นถือมั่นว่าเมืองพม่าแข็งแกร่ง เจริญ และเป็นศูนย์กลางของอำนาจ ความมั่นอกมั่นใจนี้ดันส่งผลเสียจนเป็นต้นเหตุให้พม่าถูกอังกฤษเข้ายึดครองได้ง่าย ๆ มีหลายหลักฐานที่กล่าวถึงการเสียเมืองในครั้งนี้ บ้างกล่าวว่าเป็นเพราะพระนางศุภยาลัตทรงใช้เล่ห์กลโกงบริษัทอังกฤษที่เข้ามาทำการค้ากับพม่า บ้างก็ว่าเป็นเพราะพระนางศุภยาลัตไม่พอพระทัยเรื่องที่อังกฤษให้ค่าสัมปทานป่าไม้น้อย อย่างไรก็ตามเอาเป็นว่าตัวการที่ทำให้เสียเมืองก็คือพระองค์นั้นแหละ
หลังจากที่อังกฤษยึดพม่าได้แล้วก็ปลดพระเจ้าธีบอและพระนางศุภยาลัตออกจากตำแหน่ง พร้อมเนรเทศออกไปประทับที่เมืองบอมเบย์ (ปัจจุบันคือมุมไบ) พระเจ้าธีบอทรงสิ้นพระชนม์หลังถูกเนรเทศ 31 ปี ตัวของพระนางศุภยาลัตเองก็ทรงมีปัญหาทะเลาะกับพระนางอเลนันดอ จนทำให้พระนางอเลนันดอทรงทนไม่ไหวกับความเกรียวกราดนี้ พระนางอเลนันดอจึงขออังกฤษกลับมาที่พม่า อังกฤษเองก็อนุญาต แต่พระนางต้องถูกคุมตัวไว้ที่เมืองเมาะลำเลิง จนพระนางสิ้นชีวิต
บั้นปลายชีวิตของพระนางศุภยาลัตได้ทรงกลับมาอยู่ที่พม่า พระนางทรงปลงและรู้ซึ้งในชีวิต แม้จะยังคงรู้สึกเคืองพวกขุนนางพม่าที่ไปเข้าพวกกับอังกฤษอยู่บ้าง พระนางสิ้นพระชนม์เมื่ออายุ 65 ปี งานศพเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามยถากรรม ไม่มีพิธีรีตองมากมาย ไม่ต่างจากคนทั่วไป.... แต่สิ่งที่น่าหดหู่ที่สุดคือ ผู้คนที่ถูกฆ่าสังหารกว่า 500 ชีวิต ตายอย่างไร้ค่า โดยที่ผู้กระทำผิดไม่ได้รับการลงโทษให้สาสมแก่ความโหดร้ายในครั้งนี้......
คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น