โรคเด็กเก่ง ภัยเงียบที่ห้ามมองข้าม

สวัสดีค่ะ บทความในวันนี้จะนำเสนอเรื่องที่ใกล้ตัวทุกคนมาก ๆ ก็คือ เรื่องของความเครียดค่ะ คนเราเครียดกันง่ายมากนะคะ และมักจะเครียดแบบไม่รู้ตัวด้วย เคสที่จะพูดถึงคือเคสของเราเองคือโรคเด็กเก่ง เราไปปรึกษาจิตแพทย์นะคะถึงรู้ว่ามันชื่อนี้

 

ตอนเราเรียนม.4 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เราก็เกิดโรคบ้านี้ขึ้นมาค่ะ คือเราไม่รู้ตัวว่าเราเครียด แต่มันมีอาการทางร่างกายค่อนข้างชัด เช่น ปวดหัวบ่อย คลื่นไส้อาเจียน แต่จริง ๆ แล้วไม่เป็นอะไร เหมือนป่วยการเมือง เพราะเราจะมีอาการก่อนคาบวิชาพละประมาณสองชม. เราขาดวิชาพละสองครั้ง จนขาดไม่ได้แล้วเพราะเดี๋ยวจะอดสอบ เราก็เลยไปปรึกษาครอบครัว เขาก็บอกว่าอย่างนี้ต้องหาหมอ เราจำใจต้องเข้าเรียนบาสเก็ตบอลทั้งที่เราไม่ชอบ แต่ปรากฏว่าครูใจดีมาก และให้สอบเป็นกลุ่ม คือให้เล่นสองทีม เพื่อนก็ดีมาก ช่วยให้เรายืนส่งลูกเฉย ๆ แต่มันก็ยังไม่หายเครียด

เราเป็นเด็กต่างจังหวัดด้วย การที่ต้องเปลี่ยนโรงเรียน ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ กทม. ก็รถติด ทำให้เรารู้สึกว่าไม่สามารถจัดสรรเวลาได้ การบ้านม.ปลายเยอะกว่าม.ต้นมาก เพราะม.ต้น ครูไม่ค่อยจริงจังกับการสอน เลยชิลกว่า แต่ม.ปลาย ครูทุกคนอัดฉีดความรู้ เพราะอยากให้เด็กแอดมิชชั่นติดทุกคน การบ้านการสอบก็เลยเยอะเป็นเงาตามตัว ด้วยความที่เราเก่งมาจากบ้านนอก แต่พอมาอยู่กรุงเทพฯ ค่อนข้างจะกลาง ๆ เกือบจะท้าย ๆ เราก็เลยเครียดว่าอะไร ๆ ก็ไม่เป็นอย่างใจคิด รู้สึกเหมือนกินแรงเพื่อน เพราะตัวเองไม่ได้เสนอไอเดียโครงงาน ได้แต่ปฏิบัติตามอย่างเดียว ช่วงที่ยังปรับตัวไม่ได้ก็คือตามเฮดของกลุ่มอย่างเดียวเหมือนไม่ได้พกสมองมาเรียน แต่เพื่อนก็ให้กำลังใจมาก ๆ ก็เลยพาผ่านมาจนจบเทอมหนึ่ง

พอผ่านวิชาพละ เราก็ไม่ปวดหัวแล้ว แต่เรามาเจอวิชาดนตรี เรียนระนาดที่เราทำไม่ได้อีก แต่โชคดีอีกที่ครูน่ารัก ครูให้สอบแค่โน้ต 8 ตัว ตอนแรกสอบไม่ผ่าน มาซ้อมสองครั้ง ครูก็ให้ซ่อม ตีผิดไปโน้ตเดียว ครูก็ให้ 8/10 ก็ไม่ค้านสายตา เพื่อน ๆ ก็ปรบมือว่าผ่านคนสุดท้ายของห้อง รอดมาได้แต่ก็เครียดสะสม เราเวลาเครียดจะกินเยอะมาก ๆ เยอะกว่าที่เคยกิน จนอ้วนมาก พออ้วนมากก็จะลดความอ้วนโดยการไม่กิน ใครชวนกินอะไรก็ไม่กิน จนน้ำหนักลดไปเยอะมาก ผลการเรียนเทอมแรกยังได้ 3.98 อยู่ บอกแล้วว่าเป็นเด็กเก่ง

พอเทอมสองคืออาการเครียดมาตั้งแต่เห็นตารางสอน เปิดเทอมได้ 1 สัปดาห์ ป้าเลยบอกว่าปล่อยไว้ไม่ได้ รีบขับรถพาเราไปหาหมอที่อยู่ไกลบ้านมาก แต่คุณหมอเชี่ยวชาญเรื่องจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่น และรู้วิธีพูดคุยกับเด็ก  เราก็เลยไปให้คุณหมอดูเราหน่อย หมอให้ไปตรวจ MRI กับหาหมอสมองที่ให้ดูนิ้วว่ากี่นิ้ว เราปกติ เอ็กซเรย์มาไม่มีเนื้องอก สารเคมีในสมองก็ไม่เพี้ยน แสดงว่าวิตกกังวล เครียดง่าย และมีปัญหาการปรับตัว ก็กินยาคลายเครียดเพื่อให้นิ่งขึ้น แต่ก็ต้องปรับตัวด้วย ยาช่วยให้ใจเย็น แต่ความมีสติและความเป็นผู้ใหญ่มันต้องฝึกจากพฤติกรรมของเรา ถ้าหวังให้ยาออกฤทธิ์อย่างเดียวจะไม่หาย

เราเล่าให้หมอฟังว่าเรามีปัญหาวิชาคณิตศาสตร์มาก แต่เรากลับกลายเป็นที่ 1-3 ที่นี่ เพราะเรามาจากห้องที่เน้นวิทย์คณิต หมอก็บอกว่าให้ไปเรียนพิเศษเลขเพิ่ม จะได้ไม่เป็นจุดอ่อน ถ้าแก้ได้ก็ไม่รกสมอง เราก็ถามป้าว่าเราไปเรียนดีไหม ป้าก็บอกไปเรียนเถอะ ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน เดี๋ยวคุยกับพ่อแม่ให้ ยังไงเสียเงินเรื่องเรียนก็ดีกว่าเสียเงินเรื่องเพิ่มยาหรือต้องหาหมอนานขึ้นไปอีก จริง ๆ เราเป็นคนที่เก่งภาษาไทยมาก แต่ด้วยความเป็นเด็ก เราก็ไม่ชอบการท่องมาก ๆ เรารู้สึกว่าการท่องบุษบกแก้วในรามเกียรติ์เป็นภาระ และเราก็ไม่ชอบที่ต้องท่องศึกกะหมังกุหนิง แต่วรรณคดีไม่มีที่ให้เรียนพิเศษ เราก็ไม่อยากอ่านแต่ก็ต้องทน พอแก้ปัญหาด้วยเงินไม่ได้ เราก็เลยได้คะแนนภาษาไทยน้อยมากแบบผ่านครึ่งมาสามคะแนน

การมีวินัยมันไม่ใช่เราจริง ๆ คราวนี้จุดอ่อนของเราคือเลข วิทย์ และวรรณคดีไทย สอบวันเดียวกันนี่ไม่ต้องบอกว่าคะแนนร่วงกราว เราได้คะแนนหนังสืออ่านนอกเวลาน้อยด้วย เพราะเราอ่านอังกฤษไม่เข้าใจ อ่านไทยก็ไม่รู้เรื่อง ทำให้หมอระบุว่าผลการเรียนแย่ลง ขาดสมาธิ ก็อยู่กับหมอต่อไปอีก

 

พออยู่ม.5 เราได้มาอยู่ห้องคิง เพราะเป็นคนพยายามมาก คราวนี้จากกลาง ๆ กลายเป็นบ๊วยของจริง จุดนี้ก็ทำให้เราคิดได้ว่าเราควรเลิกแข่งกับใคร ๆ แล้วมาแข่งกับตัวเองในอดีตเสียที การพลิกมุมคิดนี้ทำให้เราอาการดีขึ้น และผลการเรียนก็ดีขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เวลาร่วงร่วงเลย เวลาขึ้นขึ้นช้า เพราะไม่ได้มีพลังวิเศษแบบเก่งทันทีทันควัน

พออยู่ห้องคิง(ฟลุคไหมไม่รู้) เราได้สังเกตวิธีการเรียนกับแบ่งเวลาของเพื่อนว่าเขาแบ่งยังไง บางคนเขาอ่านหนังสือก่อนเข้าแถว บางคนต้องทำการบ้านตอนคาบโฮมรูมเย็นเพราะตอนเย็นต้องไปช่วยแม่ทำงาน เราก็เลยเคลียร์การบ้านให้เสร็จก่อนกลับบ้าน เพื่อที่ตอนถึงบ้านเราจะได้อาบน้ำนอนได้เลย หรือไปเดินห้าง ดูหนังได้บ้าง

เราค้นพบความสุขของเราที่ห้าง คือเราไม่ชอบเดินซูเปอร์ฯ เพราะมีแต่ของล่อตาล่อใจล่อเงินในเป๋า ถ้าไม่แข็งแกร่งจริงเงินหมดไม่รู้ตัว เราชอบอ่านหนังสือในร้านหนังสือ ถ้าชอบก็ซื้อ ไม่ชอบก็ดูเล่มอื่น เราชอบความสงบ และเราชอบคนที่มาอ่านหนังสือเหมือนกันเพราะเขาชอบอะไรเหมือนเรา มันเป็นอีกโลกนึงเลย เราชอบปากกาโดยเฉพาะปากกา Disney Princess แบบที่ขายที่สำเพ็ง แต่บางทีเราก็ซื้อที่ห้าง เพราะมันลองหมึกได้ว่าแห้งยัง

 

เราที่มีปัญหาการปรับตัวเริ่มดีวันดีคืน เพราะเราลองทำตามที่หมอบอก คือหาข้อดีของกรุงเทพฯ แทนที่จะมองแต่ข้อเสีย ทุกอย่างบนโลกมีสองด้าน อยู่ที่เราเลือกมองและมีความสุขกับมัน เรามองว่ากรุงเทพฯ มีร้านต่าง ๆ ที่เราไม่เคยลอง ถ้าเราไม่มากรุงเทพฯ เราคงไม่ได้กินปลาดิบและราเมน เพราะตอนนั้นนครสวรรค์ยังไม่มี เราไปไหนเองได้สะดวกสบายเพราะมีรถไฟฟ้ากับรถเมล์ที่วิ่งทั่วเมือง เราได้เพื่อนแท้ที่ยังติดต่อกันอยู่จากโรงเรียนเตรียมอุดม ซึ่งน้ำจิตน้ำใจจากเพื่อนเตรียมหาไม่ได้จากโรงเรียนเก่าสมัยม.ต้นเลย อันนี้อาจเป็นปมลึก ๆ ที่ทำให้เราไม่กล้าคุยหรือเข้าหาคนอื่นก่อนก็เป็นได้ แต่เราแกล้งทำเป็นเข้มแข็งว่าไม่ต้องการเพื่อน เพราะตอนนั้นเรายังมีพ่อแม่ดูแลใกล้ชิด จริง ๆ ควรเคลียร์ก่อนมากรุงเทพฯ รักษาทีหลังก็ยังดีกว่าไม่รักษา ตอนม. ต้น คิดว่าเครียดเรื่องสิวกับอ้วน แต่จริง ๆ เครียดเรื่องเพื่อน เพื่อนไม่เอาเข้ากลุ่ม เพราะดูเป็นคนไม่คล่องแคล่ว แต่จริง ๆ คุณพลาดแล้วนะคะ เรากลายเป็นม้ามืดที่เข้าโรงเรียนเตรียมฯ ได้ นักวิเคราะห์คือเพื่อนบางคนก็บอกว่าความเก่งถูกบดบังด้วยเกรดฉุดวิชาช่าง วิชาพละ วิชาพิมพ์ดีก เกษตรต่าง ๆ เลยเป็นเสือซ่อนเล็บหรือคมในฝัก แต่จริง ๆ ไม่เคยซ่อน ทำเต็มที่ทุกแมตช์ แต่คนที่อิจฉาก็คืออิจฉา เพราะเก่งสู้เขาไม่ได้

จนมาม.ปลาย เราก็คิดว่าตัวเองไม่เก่ง ก็สู้จนเหนื่อย ๆ จริง ๆ พักบ้างก็ได้ เรารู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า คนเก่งจากทั่วประเทศมารวมกัน แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เราจะติดกับดักตัวเอง หมอชมด้วยว่าเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบมาก ที่จริงจังขนาดนี้เพราะเข้ามหาวิทยาลัยดู GPA ไม่ได้อยากแข่งกับเพื่อน เพราะเพื่อนน่ารักมาก บางคนก็ทำชีทสรุปมาให้แบบไม่หวงกันเลย บางทีก็คิดว่าสิ่งแวดล้อมเปลี่ยน ๆ ไปบ้างก็ได้ เรามองการเปลี่ยนแปลงในแง่ร้ายเกินไป มันดีกว่าเดิมก็ได้ ถ้าเราเคยอยู่ในที่ที่มันเลวร้ายแล้วชินกับมัน ไม่อยากเปลี่ยน เราก็จะไม่พบสิ่งที่เหมาะกับเรามากกว่าที่รอเราอยู่อย่างเคสของเราก็ได้ค่ะ

 

ชอบบทความนี้หรือไม่? รับทราบข้อมูลโดย เข้าร่วมรับจดหมายข่าว!

ความเห็น

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับผู้เขียน
บทความล่าสุด
เม.ย. 28, 2023, 2:40 หลังเที่ยง Sugarmommy
เม.ย. 28, 2023, 2:37 หลังเที่ยง เบญจพิธพร
เม.ย. 27, 2023, 12:49 หลังเที่ยง ศลิล ตันวิสุทธิ์