เล่าได้เล่าดี ตอนเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้าในอเมริกาของฉัน

 

สวัสดีค่ะ อาทิตย์นี้ฉันจะเล่าเรื่องอะไร ไปไม่ได้นอกจากเทศกาลวันครอบคุณพระเจ้า หรือที่รู้จักกันว่า Thanksgiving Day

เทศกาลขอบคุณพระเจ้า ถือว่าเป็นวันหยุดประจำชาติของคนอเมริกัน จะเฉลิมฉลองกันในวันพฤหัสบดี ที่สี่ของเดือนพฤศจิกายน เทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า เริ่มต้นมาจากการเฉลิมฉลองฤดูกาลเก็บเกี่ยว ในฤดูใบไม้ผลิ หรือที่เรียกว่า Harvest Festival เทศกาลวันขอบคุณพระเจ้านี้ จัดให้เป็นวันหยุดแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 1789 ในสมัยของประธานาธิบดี George Washington  แต่ครั้นในสมัยประธานาธิบดี Thomas Jefferson ได้มีการยกเลิกให้วันขอบคุณพระเจ้า เป็นวันหยุดแห่งชาติ จนกระทั่งในสมัยของประธานาธิบดี Abraham Lincoln ได้ฟื้นฟูและบรรจุให้ วันขอบคุณพระเจ้าเป็นวันหยุดแห่งชาติ ในปี 1863 อีกครั้ง ซึ่งจะเฉลิมฉลองในวันพฤหัส สุดท้ายของเดือน พฤศจิกายน แต่ประธานาธิบดี Franklin Roosevelt ได้เปลี่ยนวันจากวันพฤหัส สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน มาเป็นวันพฤหัสที่สี่ ของเดือนพฤศจิกายนแทน เพื่อรวมเข้ากับเทศกาลคริสต์มาสต์ และปีใหม่ ที่เรียกว่า เทศกาลแห่งความสุข หรือ Holiday Season ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

 

ทั้งนี้เทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า จะมีการรำลึกถึง ประวัติและการจัดงานในครั้งแรกเริ่มเดิมที ของวันขอบคุณพระเจ้า ที่มารู้จักกันใน First Thanksgiving ที่เล่าขานกันมาว่า งานเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า เริ่มแรกเมื่อครั้งที่ นักบวชกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า Pilgrims ได้เดินทางจากอังกฤษ เพื่อเดินทางแสวงหาแผ่นดินใหม่ ที่รู้จักกันในนามว่า The New World และในเดือนตุลาคม ปี 1621 นักบวช และกลุ่มคนกลุ่มนี้ จัดงานเฉลิมฉลองกินเลี้ยง และได้เชิญชาวเผ่าอินเดียนแดง มาร่วมงานฉลองมากถึง 90 คน พร้อมกับคนของตัวเองที่มีมากถึง 53 คน ซึ่งถือว่าการเฉลิมฉลองนี้แสดงให้เห็นถึง ความสัมพันธ์ มิตรภาพที่ดีของคนมาใหม่ และคนพื้นเมือง ที่เอื้อเฟื้อ เกื้อกูลกัน และพร้อมใจกันเรียกเทศกาลนี้ว่า Thanksgiving หมายถึงการขอบคุณพระเจ้า สำหรับพืชพันธุ์ ธัญญาหาร และมิตรภาพของผู้คนที่มีให้กัน

ฉันรู้จักกับเทศกาลวันครอบคุณพระเจ้า ในครั้งแรกเมื่อปี 1997 ปีแรกที่ฉันได้มาที่ประเทศอเมริกา สำหรับนักเรียนต่างชาติ เทศกาลวันครอบคุณพระเจ้า ก็เหมือนวันหยุดทั่วไป เพราะเราจะไม่คุ้นชินกับ ประเพณีและวัฒนธรรมของคนที่นี่ เทศกาลวันของคุณพระเจ้าสำหรับนักเรียนต่างชาติ แทนที่จะเป็นวันชื่นคืนสุข เฉลิมฉลอง แต่กลับเป็นวันที่เหงาหงอยหดหู่ที่สุด ของนักเรียนต่างชาติก็ว่าได้ เพราะในเทศกาลนี้ทางมหาวิทยาลัย เขาจะปิด เพื่อให้นักเรียน ได้เดินทางกลับบ้านไปใช้เวลากับครอบครัว แบบว่าประมาณเทศกาลวันสงกรานต์ของเมืองไทย อย่างไร อย่างนั้น ที่ผู้คนจะพากันกลับบ้าน ไปอยู่กับครอบครัว นักเรียนชาวอเมริกัน ก็จะเริ่มเดินทางกลับบ้านกันตั้งแต่วันจันทร์ และอย่างช้าที่สุดคือวันพุธ เพื่อไปให้ทันฉลองและกินไก่งวงในวันขอบคุณพระเจ้า ในวันพฤหัส

 

 

ส่วนนักเรียนต่างชาติอย่างเรา ก็ได้แต่เฝ้าดูแคมปัส เงียบเหงาลงทีละน้อยๆ จากสถานที่ที่เคยมีผู้คนส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ก็ค่อยๆ เงียบลงๆๆ จนน่าใจหาย บางครั้งเดินๆ อยู่ในแคมปัส ในวันหนาวๆ มองใบไม้ปลิดปลิวล่วงจากต้น สู่พื้นดินอย่างช้าๆ มองไปรอบๆ ตัวไม่มีใคร ร้านค้า ร้านอาหาร ก็พากันปิด เพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานไปใช้เวลากับครอบครัว ดังนั้นมันก็มีแต่เรายืนโด่เด่ มันช่างได้อารมณ์ ประมาณ นางเอกใน MV ตอนอกหักรักคุด โอ๊ย... มันช่างเหงาอะไรอย่างนี้ เหงาจนอยากแทบจะร้องไห้ จะโทรหาพ่อกับแม่ก็ทำไม่ได้ เพราะการติดต่อสื่อสารในตอนนั้นมีแต่ทางโทรศัพท์ ที่โทรกลับบ้านหาพ่อแม่ที ก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะค่าโทรศัพท์แพงเหลือเกิน

แต่ก็อย่างว่า การมาเป็นนักเรียนต่างชาติ เราต้องอึด ถึก ทน ต้องทำตัวเข้มแข็งเพื่อไม่ให้เจ้าความเหงาทำร้ายเราได้ และวิธีการอย่างหนึ่งที่เราจะทำลายความเหงา ในวันนี้ให้ได้ คือการรวมตัวกันของนักเรียนต่างชาติ ของฉันกับเพื่อน ที่มีทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น แขก รัสเซีย เยอรมัน และชาติอื่น ที่ไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน ก็มารวมตัวกันที่บ้านฉันบ้าง บ้านเพื่อนบ้าง ก็มีการกินเลี้ยง สังสรรค์กันตามประสา ผู้ที่ไม่มีอะไรจะทำมากไปกว่านี้แล้ว ซึ่งมันก็ทำให้เราได้คลายความเหงา ในการคิดถึงบ้าน ไปได้เยอะเลยทีเดียว แต่สำหรับบางปี ที่เราเบื่อกับการกินเหล้า สังสรรค์กันในเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า เราก็เปลี่ยนมาเป็นพากันไปเที่ยว ในที่ไกลๆ ขับรถไปบ้าง นั่งเครื่องบินไปเที่ยวบ้าง เพราะเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า โรงเรียนเขาหยุดตั้งแต่วันพฤหัสบดี จนถึงวันอาทิตย์ ก็มีโอกาสได้เที่ยวกันยาวๆ ไป

 

 

Fast Forward อีกสิบปีต่อมา เมื่อฉันได้รู้จักและแต่งงานกับคุณสามีชาวอเมริกัน เทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า จึงมีบทบาทมากขึ้นในชีวิตของฉัน ทำให้ฉันเข้าใจถึงประเพณี และวัฒนธรรมของชาวอเมริกัน ในวันขอบคุณพระเจ้ามากขึ้น

ชาวอเมริกัน จะถือว่าวันขอบคุณพระเจ้า เป็นวันครอบครัว เขาจะให้ความสำคัญ และเวลากับครอบครัว พบปะสังสรรค์กัน อีกทั้งจะให้ความสำคัญกับการทำและการกินอาหารเป็นอย่างมาก ในเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า และโดยส่วนใหญ่แล้ว ทางฝ่ายผู้หญิงจะเป็นทำอาหาร และเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดงานเลี้ยง ซึ่งรวมไปถึงครอบครัวสามีของฉันด้วย ที่ทางแม่สามี พี่สาว และน้องสาวของสามีฉัน รวมถึงยาย และน้าสะใภ้ ก็มีบทบาทสำคัญในการทำอาหารเลี้ยงสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนๆ ซึ่งเราไม่ได้พูดถึงจำนวนคน สามสี่ห้าคนในครอบครัว เราพูดถึงจำนวนยี่สิบถึงสามสิบคนกันเลยทีเดียว เพราะครอบครัวนี้เป็นครอบครัวใหญ่ สมาชิกในครอบครัวเยอะแยะมากค่ะ การจัดงานเลี้ยงจะเริ่มจากทางฝ่ายหญิงจะตกลงกันว่า ปีนี้จะไปจัดงานที่บ้านใคร ส่วนใหญ่แล้วคุณแม่สามีของฉัน จะอาสาบ้านตัวเอง เป็นสถานที่จัดเลี้ยง เพราะเธอเป็นพี่สาวคนโต แต่บางปีก็สลับไปบ้าน น้าชายบ้าง เพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ปีนี้น้องสาวของสามีฉัน อาสาขอจัดงานที่บ้านของเธอ

ถึงแม้ว่าสามีฉันจะเป็นเชฟ และมีบริษัทเคเทอริ่งเป็นของตัวเอง แต่เราไม่เคยอาสาจัดงานที่บ้านฉันเลย เพราะหนึ่ง คุณสามีเชฟ จะต้องทำงานในวันขอบคุณพระเจ้า เพราะมีงานเคเทอริ่งทำอาหารให้ลูกค้ารายหนึ่ง ในวันนี้ ทุกปี บางปีคุณสามีเหนื่อยมากกับการทำอาหาร จนบางครั้งเขาก็ไม่อยากกินอาหาร หรือแม้แต่ไปร่วมงานเลี้ยงวันขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าที่ไหน หรือกับใครก็ตาม และสอง ถึงแม้ฉันจะเป็นผู้หญิง ที่ทำอาหารไทยเป็นอยู่บ้าง แต่การทำอาหารฝรั่ง เลี้ยงคนในวันขอบคุณพระเจ้า ฉันไม่เอาดีกว่า เพราะอาหารฝรั่งฉันไม่ถนัดที่จะทำ กลัวทำไปแล้ว คนอื่นกินไม่ได้ หรือไม่ถูกปาก อีกทั้งการไปร่วมงานครอบครัวของสามี แต่ไม่มีสามีไปด้วย หรือไปถึงทีหลัง บางทีฉันก็ไม่ค่อยสนิทใจนักที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นหนึ่งในผู้จัดงาน ดังนั้นครอบครัวของฉันถึงไม่เคยเป็นตั้งตั้งตัวตีในการจัดงานเลี้ยงวันขอบคุณพระเจ้า ที่บ้านของฉันเลย และส่วนใหญ่ครอบครัวของเราจะไปในฐานะคนกินมากกว่าคนทำ ซึ่งทางครอบครัวของสามี เขาก็ไม่ได้ถือสาหาความอะไร กับฉันเพราะเขาเข้าใจ ว่าฉันไม่คุ้นชิน กับการทำอาหารฝรั่ง

ในเมื่อผู้หญิงทำอาหาร และผู้ชายทำอะไร ในสมัยโบราณ การทำอาหารเลี้ยงวันขอบคุณพระเจ้า ผู้ชายในสมัยก่อน จะไม่มีบทบาทในการทำอาหาร หรือจัดงานเลี้ยงมากนัก เมื่อทางฝ่ายสาวๆ มานัดรวมตัวกันแต่เช้าตรู่ ในวันขอบคุณพระเจ้า เพื่อมาลงมือทำอาหาร บรรดาฝ่ายหญิงก็จะคลุกกันอยู่ในครัว โดยที่ฝ่ายชายบ้างก็จะนั่งดูทีวี เริ่มจากการชมขบวนพาเหรด วันขอบคุณพระเจ้าซึ่งจัดโดยห้างเมซี่ ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อว่า Macy’ s Thanksgiving Day Parade ที่จัดกันทุกปีในวันขอบคุณพระเจ้า ในเมืองนิวยอร์ค และออกอากาศทางโทรทัศน์ ครั้งแรกเมื่อปี 1924

นอกจากนี้ทางฝั่งผู้ชาย ก็ชอบดูกีฬาอเมริกันฟุตบอลนัดสำคัญ ที่เลือกมาแข่งขันกันในวันขอบคุณพระเจ้าอีกด้วย สำหรับผู้ชายบางคนอาจจะพากันไปล่าสัตว์ ตกปลา หาเรื่องออกจากบ้าน เพื่อปล่อยให้สาวๆ ยึดครองห้องครัว และเพิ่มความสะดวกสบายในการทำอาหารมากขึ้น และกลับมาบ้านอีกทีก็ตอน ได้เวลากินอาหารกัน ซึ่งเวลากินอาหารนั้น ก็แล้วแต่ทางบ้านของแต่ละคนจะ กำหนดกันเอง แต่ส่วนใหญ่จะนิยม กินกันตอนกลางวัน เวลาเที่ยง หรือบ่ายหนึ่ง เพราะเมื่อกินกันเสร็จแล้ว จะได้มีเวลากลับบ้านใครบ้านมัน ไปนอนตีพุง กันตอนเย็นๆ ค่ำๆ แต่บางบ้านอาจจะ อยากกินกันตอนเย็น เป็นอาหารเย็น ก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละบ้าน แต่ละครอบครัว

หากแต่ในสมัยนี้ ฝ่ายชายมีบทบาทมากขึ้นในการทำอาหารเลี้ยงในวันขอบคุณพระเจ้า แต่ส่วนมากฝ่ายชายจะเลือกที่จะอบไก่งวง มากกว่าการทำอาหารตัวอื่นๆ อย่างเช่นปีนี้ น้องสาวของสามี เขามีการแข่งขันกันทำไก่งวงกับสามีของเธอ คุณน้องสามี เขาอบไก่งวงในเตาอบ ส่วนสามีของเธอ เขาใช้วิธีอบรมควัน ซึ่งผลออกมา ฉันว่ามันอร่อยเท่ากัน แต่อบรมควัน จะมีกลิ่นหอมของไม้หอม ที่น้องเขยเขาใส่เข้าไปด้วยในเครื่องอบรมควันไฟฟ้า ที่เรียกว่า Smoker ส่วนทางคุณสามีของฉัน อาสาอบรมควันปลาแซลมอน เพื่อเอาไปให้ครอบครัวได้กิน เป็น Applitiser กินเรียกน้ำย่อย ก่อนการกินไก่งวงอีกด้วย

 

อาหารที่คนอเมริกันนิยมกินกันในวันขอบคุณพระเจ้าก็คือ ไก่งวง ซึ่งเชื่อกันว่า เมื่อครั้นที่กลุ่มแสวงบุญชาว Pilgrims เดินทางมาถึงฝั่งอเมริกาแล้ว ก็อดอยาก ไม่รู้จักการปลูกพืชและล่าสัตว์ ในสภาพอากาศหนาว ของประเทศอเมริกา ทำให้มีผู้คนล้มตายด้วย ความอดอยากจำนวนหนึ่ง ในช่วงเวลาเลวร้ายนั้น ชาวอินเดียนแดง ผู้อาศัยในแถบนั้น เกิดความสงสาร จึงนำไก่งวง และพืชผัก ผลไม้ มาให้พวกเขา ดังนั้น ไก่งวงจึงเป็นอาหารอันดับหนึ่ง ในวันขอบคุณพระเจ้า

ส่วนใหญ่คนอเมริกันจะอบไก่งวงทั้งตัว การเตรียมไก่งวงก่อนอบนั้น มีวิธีทำอยู่หลายแบบ บางคนเอาเครื่องปรุงยัดใส่ในท้องของไก่งวง บางคนก็เอาเครื่องปรุงแบบน้ำอัดฉีดเข้าเนื้อไก่งวง ด้วยหลอดฉีด ที่คล้ายๆ เข็มฉีดยา ส่วนสูตรของบ้านของสามี เขามีวิธีเดียวกัน คือเอาไปแช่ในน้ำเครื่องปรุง ที่ผสมไว้ ก่อนที่จะเอามาอบหนึ่งคืน

อาหารจานที่สองที่จะต้องมีควบคู่ไปกับไก่งวงก็คือ Stuffing หรือ Dressing ซึ่งเป็นส่วนผสมของขนมปังและเครื่องปรุงต่างๆ ตามแต่คนปรุง จากนั้นก็เอาไปยัดใส่ในตัวไก่งวงก่อนที่จะเอาไปอบ เมื่ออบไก่งวงได้สุกแล้ว ก็เอาสตั๊ฟฟิ่งออกมา เพื่อใช้กินควบคู่ไปกับไก่งวง ในสมัยนี้สตั๊ฟฟิ้ง สามารถทำได้ง่ายๆ โดยทำแยกและไม่ต้องเอาใส่เข้าไปในไก่งวง เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็ก ที่ไม่อบไก่งวงทั้งตัว แต่เลือกแต่จะอบไก่งวงช่วงเนื้อหน้าอกแทน

อาหารจานที่สามก็เป็น มันบด และเกรวี่ ที่ถือเป็นอาหารจำพวกแป้ง ที่ใช้กินกับไก่งวง ก็คล้ายๆ กับข้าวสวย ในอาหารไทย อาหารจานต่อมาก็คือ Cranberry Sauce ที่ทำมาจากผลแครนเบอร์รี่ สีแดงสดเอามาต้มจนสุก แล้วบดบี้ให้แตกละเอียด ใช้กินกับไก่งวง อาหารจำพวกผักที่ขาดไม่ได้ก็คือ Green Bean ซึ่งแต่ละครอบครัวก็จะมีวิธีปรุงแตกต่างกันไป แต่ที่นิยมกันก็คือ Green Bean Casserole นอกจากนี้ที่ขาดไม่ได้ก็คือ Sweet Potato หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า Yams เป็นพืชผลที่เก็บเกี่ยวกันในฤดูใบไม้ผลิ ที่สามารถเอามาทำของคาวใช้กินควบคู่ไปกับไก่งวง หรือเอามาทำพาย เพื่อใช้กินเป็นของหวานอีกด้วย ทั้งนี้นอกจาก Sweet Potato Pie แล้ว พืชผลที่เก็บเกี่ยวกันในฤดูใบไม้ผลิ อีกชนิดหนึ่งก็คือฟักทอง ที่นิยมเอามาทำเป็น Pumpkin Pie

 

นอกจากอาหารข้างบนที่เป็นที่นิยมสำหรับงานเลี้ยงในวันขอบคุณพระเจ้าแล้ว อาหารจุบจิบ ของกินเล่นต่างๆ ก็สามารถเอามาเสิร์ฟ ให้กับแขกได้ อย่างเช่นทางบ้านน้องสาวคุณสามี เขาก็มีของกินเล่นมากมาย เอามาเสิร์ฟให้พวกเรากินก่อนที่ไก่งวง ที่กำลังอบอยู่ในเตาอบจะสุกดี พวกเราก็ถือโอกาส กินของกินเล่นพวกนั้น รวมถึง Smoked Salmon อันแสนอร่อยของคุณสามีด้วย ซึ่งเราก็กินกันไป ดื่มเหล้า ดื่มไวน์ ดื่มเบียร์ กันไป พบปะพูดจาสังสรรค์กันไป อย่างสนุกสนาน

ในสมัยที่พ่อแม่ของฉัน ยังอยู่ที่อเมริกา พ่อแม่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรมากมาย หรือให้ความสำคัญกับ วันขอบคุณพระเจ้ามากนัก นอกจากว่าเป็นวันหยุด และวันพักผ่อนของเขามากกว่า ดังนั้นครอบครัวของฉัน จึงปล่อยท่านอยู่เงียบๆ กันสองคน ในวันนี้ และหันมายุ่งวุ่นวายกับครอบครัวคุณสามีมากกว่า

สำหรับคนอเมริกันแล้ว บางครอบครัวที่พ่อแม่หย่ากัน ในเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า จะเป็นเทศกาลที่ตระเวนกินๆๆๆๆๆ กันเลยทีเดียว อย่างเช่นตัวอย่างครอบครัวของคุณสามี ที่พ่อแม่ของเขาหย่ากัน ทางเราต้องจัดตารางการเยี่ยมเยียน (การกิน) ไว้ล่วงหน้า เวลาจะต้องเป๊ะ ว่าบ้านคุณพ่อสามี กินตอนกี่โมง บ้านน้องสาวกินกันกี่โมง

 

ดังนั้นเมื่อวานนี้ที่เป็นวันขอบคุณพระเจ้า ครอบครัวเราก็ไปที่บ้านน้องสาวสามีก่อน เพราะว่าคุณสามีต้องเอา ปลาแซลมอนอบรมควันไปให้คุณน้อง และคุณแม่จัดใส่จาน จัดเครื่องเคียงให้ดูสวยงาม พอเราไปถึงบ้านคุณน้อง ก็เจอครอบครัวคุณน้องสาว คุณแม่ คุณตา คุณยาย และครอบครัวคุณพี่สาวของสามี มากันพร้อมหน้าพร้อมตาก่อนหน้าแล้ว ทางคุณแม่ คุณพี่สาว และคุณน้องสาว ก็ยุ่งวุ่นกับการทำครัว ทำอาหาร ทางคุณน้องเขยสามีของคุณน้องสาว ก็วุ่นอยู่กับการเตาอบรมควันไฟฟ้า ที่เจ้าตัวอบไก่งวงไว้อีกหนึ่งตัว เพื่อแข่งขันกับภรรยาของเขา ทางพี่เขย คุณสามีและฉันเอง ออกไปจิบไวน์ นั่งชิลๆ อยู่หลังบ้าง มองดูคุณลูกสาวและคุณหลานๆ เล่นกันอย่างสนุกสนานที่สนามหญ้าหลังบ้าน

เราก็คุยกัน ดื่มไวน์กันไป กินอาหารกินเล่นกันไป ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งได้ เราสามคนพ่อแม่ลูก ก็ต้องขอตัววิ่งขึ้นรถ มุ่งหน้าไปยังบ้านของคุณพ่อสามี ขับรถไปถึงเปิดประตูเข้าไป อ๊ะ พอดีกับเขาที่กำลังลงมือกินอาหารกันพอดี ก็เอาเลยค่ะ ตักอาหาร ไก่งวง และอาหารอื่นใส่จานให้คุณลูก และจานตัวเอง เอาไปกินกับคุณพ่อสามี คุณแม่เลี้ยง และบรรดาลูกชายลูกสาว พร้อมลูกเขยสะใภ้ ของคุณแม่เลี้ยง คุณลูกก็ไปนั่งกินกับลูกพี่ลูกน้อง บ้านนี้อีก คุยกันไป เฮฮากันไป กินขนม กินพาย กินเหล้า กินเบียร์ จิบไวน์กันไป สวนเสเฮฮา ได้ประมาณชั่วโมงครึ่ง เราสามคนพ่อแม่ลูก ขอตัวลากลับ วิ่งขึ้นรถ กลับมาที่บ้านคุณน้องสาวอีก มาทันเวลาไก่งวงคุณน้องสาวออกจากเตาอบพอดี

พอมาบ้านนี้ก็ต้องกินกันอีก ไก่งวงเตาอบคุณน้องสาว ประชันกับไก่งวงอบเตารมควันของคุณน้องเขย อาหารเครื่องเคียง ของคาว ของหวาน เบียร์ ไวน์ โอ๊ย ท้องแน่นอึด ฉันถึงกับหย่อนตัวลงบนโซฟา นี่ถ้าไม่ใช่บ้านคุณน้องสาว อิฉันคงนอนเหยียดยาวไปกับโซฟาแล้วล่ะค่ะ

หลังจากกินกันอิ่มแปล้พุงจะแตกแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาเล่นเกม กินตังค์ เป็นเกมโยนลูกเต๋าสามลูก ลูกเต๋าหนึ่งลูก จะมีค่าหนึ่งเหรียญดอลลาร์ ดังนั้นเกมนี้ต้องใช้เงินสามเหรียญ เท่ากับลูกเต๋าสามลูก คนเล่นจะกี่คนก็ได้ นั่งเป็นวงกลม คนเล่นจะผลัดกันโยนลูกเต๋าสามลูก ถ้าลูกเต๋าออก เลข หนึ่ง สอง หรือสาม แปลว่าผู้เล่นคนนั้นรอด แต่ถ้าลูกเต๋าออกเลขสี่ ผู้เล่นจะต้องส่งเงินหนึ่งเหรียญ ไปให้ผู้เล่นที่นั่งอยู่ทางซ้าย ถ้าลูกเต๋าออกเลขห้า จะต้องส่งไปทางขวา ถ้าลูกเต๋าออกเลขหก ผู้เล่นจะต้องส่งเงินไปวางไว้ตรงกลาง ดังนั้นถึงแม้ว่าผู้เล่นคนใด ไม่มีเงินตรงหน้า เขาคนนั้นยังถือว่ายังอยู่ในเกม เพราะเงินจะผ่านมือผู้เล่นไปเรื่อยๆ จนกว่าเงินส่วนใหญ่จะไปกองอยู่ตรงกลาง และเหลือผู้เล่นคนสุดท้ายกับเงินหนึ่งเหรียญสุดท้าย หากว่าเขาทอดลูกเต๋าได้หมายเลข หนึ่ง สอง หรือสาม เขาจะชนะ ได้ครอบครองเงินกองกลางไปทั้งหมด หากแต่เขาทอดลูกเต๋าเป็นเลข หก เขาต้องเอาหนึ่งเหรียญสุดท้ายเข้ากองกลาง และแปลว่าไม่มีใครชนะ เราก็เริ่มเกมสอง ที่มีเงินรางวัลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

เกมง่ายๆ แต่คุณเชื่อไหมคะ ว่าครอบครัวนี้ ไม่มีใครยอมใคร เงินคนละสามเหรียญ เล่นกับสิบห้าคน ก็สี่สิบห้าเหรียญ ลุ้นกันเอาเป็นเอาตาย แต่เพราะความสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่เงินรางวัล แต่ความสำคัญมันอยู่ที่ความพอใจในการได้เป็นผู้ชนะต่างหาก จริงไหมคะ

 

สุดท้ายนี้ ความสำคัญของวันขอบคุณพระเจ้า ก็ไม่ได้อยู่ที่ว่า เราจะกินอะไรในวันขอบคุณพระเจ้า แต่ความสำคัญมันอยู่ที่ว่า เราใช้เวลาและให้เวลากับใครในวันนี้ มากกว่าค่ะ

โอ๋ ณ เมกา 

ชอบบทความนี้หรือไม่? รับทราบข้อมูลโดย เข้าร่วมรับจดหมายข่าว!

ความเห็น

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับผู้เขียน

The journey of a thousand miles begins with one step.

บทความล่าสุด
เม.ย. 28, 2023, 2:40 หลังเที่ยง Sugarmommy
เม.ย. 28, 2023, 2:37 หลังเที่ยง เบญจพิธพร
เม.ย. 27, 2023, 12:49 หลังเที่ยง ศลิล ตันวิสุทธิ์