อะไรถูกอะไรผิด อะไรมีจริงอะไรไม่มีจริง หรือมนุษย์มโนขึ้นมาเองทั้งหมด?

รักเพศเดียวกันเป็นเรื่องผิด? รักเดียวใจเดียวเป็นเรื่องถูก? หรือจริงๆแล้วไม่มีอะไรถูกหรือผิดเลยตั้งแต่ต้น หรือจริงๆแล้วมนุษย์นี่แหละที่มโนมันขึ้นมาเองทั้งหมด จินตนาการของมนุษย์นั้นมีผลมาจากวิวัฒนาการของมนุษย์โบราณ โดยทั่วไปแล้วสัตว์จะมีการรวมกลุ่มและมีจ่าฝูงที่สามารถคุมเด็กๆในสังกัดได้ ในหนึ่งกลุ่มจะมีมากสุดประมาณ 50-100 ตัว ถ้ามากกว่านั้นจะเกิดการทะเลาะแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน แต่มนุษย์ผู้ที่มีชื่อว่า “เซเปียนส์ (ผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด)” ได้ก้าวผ่านข้อกำจัดเหล่านั้นมาได้โดยการสร้างความเชื่อร่วมกันแทนที่การรวมกลุ่มกันเฉยๆ มนุษย์จึงสามารถควบคุมองค์กรที่มีพนักงานเป็นแสนๆคนได้โดยมีมิชชั่นให้ทุกคนที่มีความเชื่อร่วมกันมาทำงานร่วมกัน หรือสามารถควบคุมประเทศที่มีคนเป็นล้านๆคนได้ ตัวอย่างง่ายๆเช่น คน 2 คนจากคนละมุมโลกแต่มีความเชื่อในพระเจ้าเหมือนกัน ก็เป็นครอบครัวเดียวกันได้ แบบนี้เราเรียกมันว่า “การมโนได้ไหม?” หรือเหมือนการกำหนดให้จดทะเบียนเป็น “บริษัท จำกัด” โดยมีบุคคลหนึ่งเป็นเจ้าของแต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ฟ้องร้องขึ้น บุคคลที่ฟ้องร้องจะต้องยืนฟ้องร้องค่าเสียหายต่อ “บริษัท” ไม่ใช่ “เจ้าของบริษัท” คำถามคือ “บริษัทนี้มีตัวตนหรือไม่?” เราอาจจะคุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้จนเราลืมไปว่ามันก็เป็นแค่จินตนาการของเราเท่านั้น หลายๆคนคงเคยตั้งคำถามว่ามีกฏไปทำไม? ใครเป็นคนตั้ง? ทำตามกฏแล้วได้อะไร? จากข้อเท็จจริงข้างต้นทำให้ได้รู้ว่าการมโนสิ่งต่างๆมีจุดประสงค์เพื่อบางอย่าง เราเข้าใจมันได้ถึงเหตุและผล แต่เหตุใดบางครั้งเราจึงฝังใจและยึดติดกับมันจนเกินไปจนขนาดที่สามารถก่อให้เกิดสงครามได้ หรือแม้กระทั่งทำร้ายกันเองเพียงแค่เพราะมีความเชื่อหรือความเห็นที่ต่างกัน ไม่ใช่เราแค่ต้องการใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุขหรอกหรอ?

เชื่อได้ว่าหลายๆคงเคยโดยตัดสินจากคนรอบข้างว่าเราเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ ที่เห็นได้ชัดเจนอย่างการที่สามีนอกใจภรรยาและถูกคนรอบข้างประณามว่าเป็นคนเลวที่ไม่รักเดียวใจเดียว คำถามคือ ใครเป็นคนตั้งกฏว่าการรักเดียวใจเดียวคือสิ่งที่ถูกต้อง? หรืออย่างการถูกตัดสินว่าเป็นคนบาปและโดนขับไล่เพราะมีคนรักเป็นเพศเดียวกัน มีทฤษฎีจากนักจิตวิทยาวิวัฒนาการบางคนให้ความเห็นว่า มนุษย์โบราณไม่ได้ใช้ชีวิตผัวเดียวเมียเดียวแต่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มแบบไม่มีทรัพย์สมบัติส่วนตัวที่ผู้หญิงในสังคมแบบนี้สามารถมีความสัมพันธ์กับ “ผู้ชาย” และ “ผู้หญิง” ได้หลายคน เมื่อมีเด็กเกิดขึ้นมา ผู้ใหญ่ทุกคนในสังคมจึงร่วมมือกันดูแลเด็กๆอย่างเท่าเทียมกัน แน่นอนว่าสังคมแบบนี้ไม่ใช่สังคมในอุดมคติของใครหลายๆคน แต่ก็ทำให้เราได้เห็นถึงความเป็นไปได้ถึงว่าบางสิ่งที่เรายึดถือนั้นอาจจะไม่มีใช่สิ่งถูกต้อง 100% นอกจากนี้ยังมีแนวคิด “ประชาคมโบราณ” ที่กล่าวว่า อัตราการหย่าร้างที่สูงมีผลมาจากการบังคับใช้ชีวิตแบบครอบครัวเดี่ยว แต่แน่นอนว่ามีนักวิชาการหลายคนปฏิเสธแนวคิดนี้อย่างรุนแรง และแย้งว่าในสังคมประชาคมโบราณอาจจะมีความเท่าเทียมมากกว่าปัจจุบัน แต่ก็พบหลักฐานว่ามีการแยกออกเป็นกลุ่มเล็กๆ และแต่ละกลุ่มก็มีการเลี้ยงดูเด็กแยกจากกัน ทำให้มีแนวโน้มว่าผู้หญิงและผู้ชายจะแสดงความเป็นเจ้าของลูกๆและคนรักของพวกเขา เราอาจจะไม่เคยสังเกตว่าทฤษฎีผัวเดียวเมียเดียวที่ให้ความสนใจเฉพาะกลุ่มเล็กๆของตนนี้มีผลต่อระบบสังคมและการเมืองของเราด้วย อย่างเช่นการสืบทอดอำนาจจากพ่อสู่ลูก จนถึงตอนนี้เรายังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางสังคมของบรรพบุรุษของเราเนื่องจากไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน แต่เราสามารถพิจารณาได้ว่า สิ่งที่เราคิดว่าถูกนั้นมีโอกาสถูกจริงๆเพียงแค่ 50% เท่านั้นเอง

อาจจะบอกได้ว่ามนุษย์คือผู้มีจิตนาการสูง สามารถสร้างสิ่งที่ไม่มีอยู่ให้มีอยู่ได้ จากข้อมูลข้างต้นช่วยให้เราเปิดรับมุมมองใหม่ๆเข้ามามากขึ้น และไม่ยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเกินไป แต่เราอย่าลืมว่าเรายังต้องอาศัยอยู่กับคำตัดสินจากความเชื่อต่างๆเหล่านี้ต่อไปอีกสักพักใหญ่ๆ เป็นเรื่องยากที่เราจะเปลี่ยนแปลงอะไรในระยะเวลาอันสั้น เพราะกว่าความเชื่อเหล่านี้อยู่มาได้จนถึงปัจจุบันถ้าเราลองคิดดูดีดีมันก็ใช้เวลามานานมากเหมือนกันกว่าจะคงอยู่ได้จนถึงปัจจุบันนี้ แต่ละคนมีความคิดและความเชื่อแตกต่างกัน เราไม่สามารถยัดความเชื่อของเราไปใส่ผู้อื่นได้ และเราก็ตัดสินความคิดและความเชื่อของคนอื่นว่าผิดไม่ได้เหมือนกัน ไม่มีอะไรถูกหรือผิด 100% แต่ถ้าเราอยากเห็นความเชื่อของเรายังคงอยู่ต่อไปในอนาคต สิ่งที่ทำได้คือค่อยๆหว่านเมล็ดพันธุ์ความเชื่อของเราให้มันค่อยๆงอกเงยทีละนิดแม้ว่าจะใช้เวลารดน้ำพรวนดินแต่มันจะเจริญเติบโตได้อย่างแน่นอน เหมือนกันกับที่คนรุ่นก่อนสร้างชุดความเชื่อต่างๆและส่งต่อมายังลูกหลานอย่างเราในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามแต่อย่าลืมว่าความเชื่อเหล่านี้มีพลังอำนาจมากแค่ไหนและความเชื่ออย่างแรงกล้าสาสามารถก่อให้เกิดอะไรได้บ้าง? ความเชื่อเหล่านี้อาจจะดาบสองคม อย่าลืมว่าเราก็แค่ต้องการใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุข

การมโนของมนุษย์จะมองว่าเป็นเรื่องดีก็ใช่จะเป็นเรื่องไม่ดีก็ใช่ อยู่ที่มุมมองของแต่ละคน คุณคิดยังไงคุณตัดสินใจเองได้เลย

เพิ่มเติม : มนุษย์เราเดินตัวตรงบนขาทั้งสองข้าง เป็นวิวัฒนาการที่ทำให้มนุษย์สามารถตรวจตามองหาเหยื่อและศัตรูได้ง่าย แต่มนุษย์ต้องแลกมากับอาการปวดหลังและเมื่อยคอ ผู้หญิงต้องแลกมากับช่องคลอดที่แคบกว่าเดิม ทำให้การคลอดลูกเป็นความเสี่ยงที่อาจเสียชีวิตได้จึงนิยมการคลอดก่อนกำหนดเพื่อแม่จะได้มีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่า แต่เด็กทารกที่เกิดมาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้จึงต้องการการเลี้ยงดูในขณะที่ลูกม้าสามารถวิ่งเหยาะๆได้ทันหลังหลังการคลอด การเลี้ยงดูบุตรเป็นต้นกำเนิดวิวัฒนาการหนึ่งของมนุษย์ นั่นคือความผูกพันทางครอบครัวที่ต้องช่วยกันเลี้ยงบุตร ความผูกพันทางสังคม และการเลี้ยงดูบุตรนี้เองทำให้มนุษย์สามารถหล่อหลอม ยืด บิด ดัด หลอดแก้วไร้รูปร่างได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะสร้างให้เด็กๆเป็นพวกเผด็จการหรือประชาธิปไตย ทุนนิยมหรือสังคมนิยม รักในธรรมชาติหรือรักในความศิวิไล สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกิดจากการบ่มเพาะและสิ่งรอบๆตัวทั้งสิ้น แล้วเราจะหล่อหลอมลูกหลานของเรา สังคมของเรา ประเทศของเราไปในรูปแบบไหน?

เนื้อหาอ้างอิงจากหนังสือ : Sapiens A Brief History of Humankind

นักเขียน : Yuval Noah Harari

แปลโดย : ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์

ชอบบทความนี้หรือไม่? รับทราบข้อมูลโดย เข้าร่วมรับจดหมายข่าว!

ความเห็น

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนเพื่อแสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับผู้เขียน
บทความล่าสุด
เม.ย. 28, 2023, 2:40 หลังเที่ยง Sugarmommy
เม.ย. 28, 2023, 2:37 หลังเที่ยง เบญจพิธพร
เม.ย. 27, 2023, 12:49 หลังเที่ยง ศลิล ตันวิสุทธิ์