บุหรี่ไฟฟ้าช่วยให้เลิกบุหรี่และอันตรายน้อยกว่าบุหรี่จริงใช่หรือไม่?

ทำไมคนควรเลิกสูบบุหรี่? มีเขียนไว้ชัดเจนบนซองบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

อย่างที่เราทราบกันดีว่ายาสูบมีสารเคมีจำนวนมากที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งมักกล่าวถึงทาร์ นิโคติน และคาร์บอนมอนอกไซด์ ทาร์ทำจากส่วนผสมของสารหลายชนิดซึ่งจะเข้มข้นกลายเป็นสารหนืดหลังจากหายใจเข้าปอด นิโคตินมีผลเสพติด ปอดดูดซึมเข้าไปจะส่งผลต่อระบบประสาท เมื่อเวลาผ่านไป ความสามารถของเซลล์เม็ดเลือดแดงในการลำเลียงออกซิเจนไปทั่วร่างกายจะลดลง

อันตรายจากการสูบบุหรี่ต่อร่างกายนั้นเป็นที่ทราบกันดี การก่อมะเร็ง การเกิดกระดูกเกิน ความฉลาดลดลง...ตามสถิติ ผู้ที่สูบบุหรี่ 15-20 มวนต่อวัน มีโอกาสเกิดมะเร็งปอด มะเร็งช่องปาก หรือมะเร็งลำคอ 14 เท่ามากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ ในขณะที่ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นเวลานาน มากกว่า 40% ของโรคในชีวิตของเขาเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสูบบุหรี่

เป็นเพราะบุหรี่มีผลเสียมากมายจนผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเลิกบุหรี่ อย่างไรก็ตาม ภายใต้ผลกระทบของนิโคติน ผู้สูบบุหรี่ส่วนมากมักจะเลิกสูบบุหรี่ไม่สำเร็จ ดังนั้นในบริบทนี้บุหรี่ไฟฟ้าจึงเข้ามาเป็นตัวเลือก แต่บุหรี่ไฟฟ้าไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ตามที่โฆษณาหรือไม่? บุหรี่ไฟฟ้าช่วยให้คนเลิกบุหรี่ได้จริงหรือ? คำตอบคือ: ไม่จริง

บุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เลียนแบบบุหรี่และมีลักษณะ ควัน รสชาติ และความรู้สึกเหมือนกันกับบุหรี่ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสูดดมหลังจากเปลี่ยนนิโคตินเป็นไอน้ำด้วยวิธีต่างๆ เช่น การทำให้เป็นละออง จากคำอธิบายนี้ บุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินเหมือนยาสูบทั่วไป แต่เท่าไหร่? เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่จริงจังกับประเด็นนี้

นิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่จริงในไหนมากกว่ากัน บุหรี่ที่ไม่ได้จุดไฟมียาสูบประมาณ 1 กรัมโดยเฉลี่ยมีนิโคตินประมาณ 8.4 มก. ตัวเลขนี้ไม่มีความแน่นอน แต่ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์บอกว่าเพียงพอที่จะฆ่าหนูขาวได้ บุหรี่ไฟฟ้ามักจะมี e-liquid (น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า) ซึ่งสามารถแบ่งคร่าวๆ ได้เป็น 4 ระดับตามความเข้มข้นมาตรฐานความปลอดภัย ไม่มี คือ 0 มก., 6 มก. คือ ต่ำ, ปานกลาง คือ 12 มก. และสูง คือ 18 มก. ความเข้มข้นของ e-liquid 6 มก. หมายความว่า ทุกๆ 1 มก. ของ e-liquid มีนิโคติน 6 มก. ยิ่งเสพติดมากเท่าใด ความเข้มข้นของน้ำมันควันบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ดูเหมือนว่าไม่ว่าคุณจะเลือกบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้า ปริมาณนิโคตินในบุหรี่ก็ค่อนข้างมาก

บุหรี่ไฟฟ้าประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ตัวมวนบุหรี่  ตัวที่ทำให้เกิดไอและความร้อน และแบตเตอรี่ ภายใต้การกระทำของตัวที่ทำให้เกิดไอและความร้อน e-liquid จะผ่านเข้าไปเพื่อสร้างควันนิโคตินและผู้สูบบุหรี่จะสูดควันเข้าไปในปอดเหมือนบุหรี่ ธุรกิจจำนวนมากอ้างว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีพิษ แต่ในความเป็นจริง ควันยังมีอนุภาคเล็กๆ ที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง โลหะหนัก และสารระเหยบางชนิด การศึกษาพบว่าบุหรี่ไฟฟ้ายังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและมะเร็ง

บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายน้อยกว่าเมื่อเทียบกับบุหรี่ทั่วไปหรือไม่? ประเด็นนี้ยังสรุปไม่ได้

สถาบันวิจัยบางแห่งได้ให้ข้อสรุปจากการตรวจสอบและวิเคราะห์ว่า บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าการสูบบุหรี่ถึง 95% แต่ข้อความนี้ถูกตั้งคำถามโดยหลายฝ่ายในเวลาต่อมา ประการแรก นักวิเคราะห์บางคนชี้ให้เห็นว่ามอยเจอร์ไรเซอร์ในบุหรี่ไฟฟ้ามีโพรพิลีนไกลคอลจำนวนมาก ซึ่งทำให้ระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจได้ง่ายและอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าสูงกว่าบุหรี่ทั่วไป และ 90% ของส่วนผสมในบุหรี่ไฟฟ้าคือโพรพิลีนไกลคอล ประการที่สอง ในกระบวนการให้ความร้อนอย่างรวดเร็ว บุหรี่ไฟฟ้าจะผลิตอะโครลีนที่เป็นพิษ หลังจากที่สูดดมอะโครลีนเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะทำให้ระบบทางเดินหายใจเสียหายได้ง่าย ทำให้เกิดโรคคอหอยอักเสบ หลอดลมอักเสบ และโรคอื่นๆ นอกจากนี้ บุหรี่ไฟฟ้ายังมีสารก่อมะเร็ง - แอมโมเนียมไนไตรต์

อีกทฤษฎีหนึ่งคือบุหรี่ธรรมดามีสารที่เป็นอันตรายมากกว่าบุหรี่ไฟฟ้า เช่น ทาร์ เบนโซไพรีน (สารก่อมะเร็งทางอ้อมที่ออกฤทธิ์สูง) และสารก่อมลพิษในแก๊ส การทดลองแสดงให้เห็นว่าสารพิษที่ปล่อยออกมาจากบุหรี่ธรรมดานั้นสูงกว่าบุหรี่ไฟฟ้า 9 ถึง 450 เท่า อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้คนมักพบว่าผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีอายุน้อยลงกว่าเดิม จากการสำรวจยาสูบเยาวชนแห่งชาติในสหรัฐอเมริการะหว่างปี 2560-2561 สัดส่วนของนักเรียนมัธยมปลายที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 11.7% เป็น 20.8% เพิ่มขึ้น 78% นักเรียนมัธยมต้นเพิ่มขึ้นจาก 3.3% เป็น 4.9% เพิ่มขึ้น 48% หนึ่งปีมีผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า 1.5 ล้านคน

ดังนั้น เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงอันตรายจากการสูบบุหรี่และอันตรายที่ซ่อนอยู่ของบุหรี่ทั้งสองประเภทนี้ การพยายามใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อเลิกบุหรี่หรือคิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าใช้แทนบุหรี่นั้นไม่น่าเชื่อถือ...